ในการฝึกตนของเหล่านักบวช
ฤาษี ชี พราหมณ์ ในยุคโบราณนั้น กล่าวกันว่าเป็นการบำเพ็ญเพียรและฝึกจิตโดยแท้จริง
วิชาที่สืบทอดกันมาในปัจจุบันก็ว่าด้วยสมถกรรมฐาน กล่าวคือ
มุ่งเน้นการเพ่งกสิณเพื่อให้เกิดฤทธิ์ เพราะฉะนั้น ในบทสวดพระคาถาต่าง ๆ
ที่เป็นวิชาทางด้านคุณไสยกระทำการ จะมีสายธาตุกำกับอยู่ เช่น คาถาประสบเนตร
ประกอบด้วยธาตุไฟ และธาตุลม (ดวงตา = ไฟ, ดวงใจ = ลม) ฉะนั้นเวลาครูบาอาจารย์ท่านฝึก ต้องกำกับไฟและลม เพื่อให้ส่งผลต่ออภิญญา
นอกจากการถือศีลหรือข้อปฏิบัติตามสายวิชาของตนแล้ว
ครูบาอาจารย์ท่านจะต้องฝึกจิตด้วยการบำเพ็ญเพียรนานัปการ กว่าจะสำเร็จเป็นวิชาหนึ่งวิชา
และสิ่งเหล่านี้อาจจะไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยการมองเห็น
นั่นเพราะเป็นแสงออร่าที่ดวงตามนุษย์ไม่สามารถสัมผัสได้ ผู้ที่มีอภิญญาเทียบเท่ากันเท่านั้น
จึงจะสามารถมองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้ แต่กระนั้น วิชาโบราณที่เห็นผลด้วยตาเปล่า
ก็มีมากมายนัก ดังคำประพันธ์ หรือบันทึกเก่าแก่ของปราชญ์โบราณ
ที่ส่งผลให้ครูบาอาจารย์ หรือพระอริยสงฆ์บางรูป เป็นที่เลื่องลือตราบจนถึงปัจจุบัน
ตัวอย่างนี้ผู้เขียนเพียงเปรียบเปรยชี้แจงเท่านั้น ห้ามส่งเข้ามาถามนะครับว่า จะฝึกคาถาอะไร
ต้องฝึกอภิญญาธาตุไหน เพราะนั้นไม่ใช่อุบายที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพึงให้พิจารณา
ผู้เขียนเพียงบอกกล่าวชี้แจงว่า การเล่นแร่แปรธาตุของคนโบราณนั้น
มิใช่ฝึกกันเพียงวันสองวัน แต่ท่านใช้เวลาทั้งชีวิตในการฝึกฝน ดังนั้น
เวทมนย์กลคาถาต่าง ๆ จึงได้สำเร็จได้ เป็นจริงได้
ตามคำอ่านคาถาอาคม
หากเราระลึกถึงคุณพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือครูบาอาจารย์ที่ส่งมอบให้
ก็สามารถเกิดปาฏิหารย์ได้เช่นกัน เพราะครูบาอาจารย์เหล่านั้นท่านกำกับไว้ดีแล้ว
วิเศษณ์แล้ว ดังนั้นจะขอส่งมอบต่อไปเพื่อเป็นวิทยาทานเท่านั้น เราจะไม่พึงสงสัย
หรือหลงไหลในไสยศาสตร์ใดจนเกินการพิจารณาตนเอง การพิจารณาลมหายใจ การดำเนินชีวิต
และการพิจารณาความตายโดยไม่ประมาท คือแนวทางที่พุทธองค์ทางบัญญัติ
และการเจริญกรรมฐานด้วย อานาปานสติ คือสิ่งที่ควรขัดเกลาจิตอย่างต่อเนื่อง
เพื่อวิมุตติสุขอย่างแท้จริง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
กรุณาแสดงความเห็นด้วยความสุภาพและมีวิจารณญาณ