พระคาถาแนะนำ

"ภูริทัตชาดก" พระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นพญานาค (ทศชาติ) ชาติที่ 6 ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ภูริทัตชาดก

· นางนาคมาณวิกากับพรหมทัตกุมาร

(พระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นพญานาค ตอนที่ 1)

ในอดีตกาล ยังมีพระราชาพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่าพรหมทัต ครองราชสมบัติในกรุงพาราณสี ทรงประทานตำแหน่งอุปราชแก่พระราชโอรส ต่อเมื่อพระราชทานไปแล้วกลับทอดพระเนตรเห็นยศและอำนาจของพระราชโอรสนั้น แล้วเกิดความระแวงว่า พระราชโอรสจะพึงยึดแม้ราชสมบัติของตน จึงรับสั่งให้เรียกพระราชโอรสนั้นมาแล้วตรัสว่า “ดูก่อนพ่อ เธอไม่อาจจะอยู่ในที่นี้ เธอจงออกไปจากที่นี้ แล้วไปอยู่ในที่ ที่เธอชอบใจ โดยล่วงไปแห่งเรา เธอจงยึดเอาราชสมบัติอันเป็นของแห่งตระกูล” (หมายถึงให้ไปหาทำเลที่ชอบ ต่อเมื่อตนเองสิ้นแล้วจึงค่อยกลับมาเอาราชสมบัติภายหน้า)

พระราชโอรสทรงรับพระดำรัส จึงกราบลาพระราชบิดา แล้วเสด็จออกจากนคร ไปหยุดที่ริมแม่น้ำยมุนา อันเป็นที่ตั้งของแม่น้ำ ทะเล และภูเขา จึงสร้างบรรณศาลา (ที่พัก) ไว้ที่แห่งนั้น มีรากไม้และผลไม้เป็นอาหารอันอุดม ครั้งนั้น นางนาคหม้ายมาณวิกา (นาคสาวที่สามีตาย) ในพิภพนาคฝั่งมหาสมุทร เห็นผู้อื่นมีสามีจึงคิดอิจฉา จิตใจเกิดกิเลสความอยากมีอยากได้ขึ้นมาบ้าง จึงขึ้นมาริมฝั่งแล้วพบรอยเท้าของพระราชโอรส เมื่อเดินตามรอยเท้าไปพบเห็นบรรณศาลาที่ประทับ

ซึ่งขณะนั้น พระราชโอรสได้เสด็จเข้าป่าเพื่อหาผลไม้ นางนาคมาณวิกาจึงเข้าไปยังบรรณศาลา เห็นเครื่องลาด (เครื่องมือเครื่องใช้) ทำด้วยไม้และบริขารที่เหลือ จึงคิดว่า นี่น่าจะเป็นที่อยู่ของนักบวชฤาษีแน่ ๆ ก็มีความคิดอยากทดลองใจ ด้วยการเนรมิตตกแต่งบรรณศาลาอย่างสวยงาม หากว่านักบวชผู้นี้มีศรัทธาน้อมนำในเนกขัมมะ (การสละความสุข) จะต้องไม่ยินดีนอนพักที่นี่ แต่ถ้านักบวชผู้นี้

ยังยึดติดในกาม ไม่ได้บวชด้วยศรัทธา ก็จะยอมนอนในที่ที่เราจัดแจงไว้นี้เป็นแน่

และหากเป็นดังว่า นางก็จะจับทำสามีอยู่ที่แห่งนี้เสียเลย ว่าแล้วนางไปสู่พิภพนาค นำดอกไม้ทิพย์ และของหอมทิพย์มาจัดแจงที่นอน นำดอกไม้ไว้ที่บรรณศาลา เกลี่ยจุณของหอมประดับ แล้วไปยังภพนาคตามเดิม

เมื่อพระราชโอรส เสด็จมาในเวลาเย็น และกลับเข้าไปยังบรรณศาลา ทรงเห็นความเป็นไปนั้น จึงคิดว่า ใครหนอ จัดแจงที่นอนนี้ ดังนี้แล้ว จึงเสวยผลไม้น้อยใหญ่ คิดว่า “น่าอัศจรรย์ ดอกไม้มีกลิ่นหอม ใครตบแต่งที่นอนให้เป็นที่ชอบใจของเรา” เกิดโสมนัสยินดีขึ้นด้วยพระองค์มิได้บวชด้วยศรัทธาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว จึงนอนพลิกตัวนอนบนที่นอนดอกไม้อย่างมีความสุข

เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น ก็ทรงออกไปหาผลไม้รากไม้ในป่าโดยที่ยังไม่ได้กวาดบรรณศาลา ในขณะนั้น นางนาคมาณวิกามาเห็นดอกไม้เหี่ยวแห้งจึงรู้ว่า “ท่านผู้นี้ น้อมใจไปในกาม ไม่ได้บวชด้วยศรัทธา เราอาจจะจับเขาได้” จึงเนรมิตตกแต่งที่นอนและบรรณศาลาใหม่ แล้วกลับนาคพิภพอีกครั้ง แม้ในวันนั้น พระราชโอรสก็นอนบนที่นอนดอกไม้จนถึงเช้า ก็ฉงนใจว่า “ใครหนอประดับบรรณศาลานี้แก่เรา” วันนี้พระองค์ไม่ออกไปหาผลไม้ แต่ยืนอยู่ในที่กำบังไม่ไกลจากบรรณศาลา เพื่อแอบดูว่าใครเป็นผู้จัดแต่งศาลาให้

ฝ่ายนางนาคมาณวิกาถือของหอมและดอกไม้เป็นอันมากมายังอาศรมบท พระราชโอรส พอเห็นนางนาคมาณวิกา ผู้มีรูปโฉมงดงาม มีจิตปฏิพัทธ์ (ตกหลุมรัก) จึงเข้าไปตอนที่นางจัดแจงดอกไม้แล้วถามว่า “เจ้าเป็นใคร?” นางตอบว่า “ข้าแต่นายฉันชื่อว่า นางนาคมาณวิกา” พระราชโอรสตรัสถามว่า “เธอมีสามีแล้วหรือยัง” นางตอบว่า “ข้าแต่นาย เมื่อก่อนฉันมีสามี แต่เดี๋ยวนี้ฉันยังไม่มีสามี เป็นหม้ายอยู่ ท่านเล่าอยู่ที่ไหน?” พระราชโอรสตอบว่า “ฉันชื่อว่า พรหมทัตกุมาร โอรสของพระเจ้ากรุงพาราณสี ก็ท่านเล่าเพราะเหตุไร จึงละภพนาคเที่ยวอยู่ในที่นี้” นางตอบว่า “ข้าแต่นาย ดิฉันตรวจดูยศของพวกนางนาคผู้มีสามีในที่นั้น อาศัยกิเลสจึงกระสันขึ้น ออกจากภพนาคนั้นเที่ยวแสวงหาสามี” พระราชโอรสตรัสว่า “เพราะเหตุนั้นแล นางผู้เจริญ แม้เราก็ไม่ได้บวชด้วยศรัทธา เพราะถูกพระบิดาขับไล่ จึงมาอยู่ในที่นี้ เจ้าอย่าคิดไปเลย เราจักเป็นสามีของเจ้า”

แม้คนทั้งสองก็ได้อยู่สมัครสังวาส (ร่วมรัก) กันในที่นั้นนั่นเอง นางนาคมาณวิกาได้เนรมิตพระตำหนักและของมีค่าตบแต่ง และเนรมิตข้าวและน้ำอันเป็นทิพย์เพื่อปรนนิบัติพระสวามีของนาง

ครั้นต่อมาภายหลัง นางนาคมาณวิกาตั้งครรภ์คลอดบุตรเป็นชาย ได้รับขนานนามท่านว่า “สาครพรหมทัต” เพราะท่านประสูติที่ฝั่งแม่น้ำสาคร และต่อมานางนาคมาณวิกาก็คลอดบุตรเป็นหญิง ได้รับขนานนามนางว่า “สมุททชา” เพราะนางเกิดที่ริมฝั่งสมุทร

ครั้งนั้น พรานไพรชาวกรุงพาราณสีคนหนึ่งเดินทางมาถึงที่บรรณศาลา จึงได้กระทำปฏิสันถาร (ต้อนรับแขก) พรานไพรพักอยู่ในที่นั่น 2-3 วันแล้วกล่าวว่า “ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์จักบอก ความที่พระองค์อยู่ในที่นี้แก่ราชตระกูล” (คือจะเอาความไปบอกราชตระกูลว่าพระโอรสอยู่ที่นี่) ในกาลนั้นพระราชาก็สวรรคต ล่วงมาถึงวันที่ 7 หลังจากจัดพิธีบำเพ็ญกุศลเสร็จ เหล่าเสนาอำมาตย์ก็ปรึกษากันว่า “อันไม่มีพระราชา ย่อมดำรงอยู่ไม่ได้ พวกเราไม่รู้ที่อยู่ของพระราชโอรส ยังมีชีวิตอยู่ หรือว่าไม่มี จึงปล่อยผุสสรถยึดเอาพระราชา” (ผุสสรถคือการปล่อยรถเทียมม้าเพื่อเสี่ยงหาพระราชา รถไปจอดที่ใดบุคคลที่เป็นใหญ่ในที่นั้นจะต้องขึ้นครองราชย์) ขณะนั้นพรานไพรได้กลับเข้าไปสู่พระนคร ทราบเรื่องดังว่าของอำมาตย์ จึงไปยังสำนักของพวกอำมาตย์แล้วแจ้งที่อยู่ของพระราชโอรส

เหล่าอำมาตย์ทั้งหลายได้ฟังดังนั้นแล้ว ได้ทำสักการะแก่เขา มีเขาเป็นผู้นำทางไปในที่พักของพระโอรส เมื่อพบจึงได้กระทำปฏิสันถาร แล้วบอกความที่พระราชาสวรรคต กราบทูลพระราชโอรสว่า “ขอพระองค์จงครองราชสมบัติเถิด พระเจ้าข้า” พระราชโอรสทรงดำริว่า “เราจักรู้จิตของนางนาคมาณวิกา” (คือถามนางนาคก่อนว่าจะไปด้วยกันหรือไม่) พระองค์จึงเข้าไปตรัสถามนางว่า “ดูก่อนนางผู้เจริญ พระบิดาของเราสวรรคตแล้ว อำมาตย์ทั้งหลายมาในที่นี้ เพื่อยกฉัตรให้เรา ไปกันเถิดนางผู้เจริญ เราทั้งสองจักครองรัชสมบัติในกรุงพาราณสีประมาณ 12 โยชน์ เธอจักเป็นใหญ่กว่าหญิง 16,000 คน” นางกล่าวว่า “ข้าแต่นาย ดิฉันไม่อาจไปกับท่านได้” พระราชโอรสถามว่า “เพราะเหตุอะไร?” นางกล่าวว่า “พวกเราเป็นอสรพิษร้าย โกรธเร็ว ย่อมโกรธแม้ด้วยเหตุเพียงเล็กน้อย และชื่อว่าการอยู่ร่วมผัวเป็นภาระหนัก ถ้าดิฉันเห็นหรือได้ยินสิ่งอะไรก็โกรธ แลดูอะไร จักกระจัดกระจายไปเหมือนกำธุลี เพราะเหตุนี้ ดิฉันจึงไม่อาจไปกับท่านได้” แม้วันรุ่งขึ้นพระราชโอรสก็ยังอ้อนวอนนางอยู่นั่นเอง นางจึงกล่าวกับท่านอย่างนี้ว่า “ดิฉันจักไม่ไปด้วยปริยายไร (ปริยาย : การกล่าวอ้อมค้อม) ส่วนนาคกุมารบุตรของเราเหล่านี้ เป็นชาติมนุษย์ เพราะเกิดโดยสมภพกับท่าน ถ้าบุตรเหล่านั้นยังมีความรักในเรา ท่านจงอย่าประมาทในบุตรเหล่านั้น แต่บุตรเหล่านี้แล เป็นพืชน้ำละเอียดอ่อน เมื่อเดินทางต้องลำบาก ด้วยลมแดดจะพึงตาย ท่านพึงให้ขุดเรือลำหนึ่ง ให้เต็มด้วยน้ำ แล้วให้บุตรเหล่านั้นเล่นน้ำนำไป พึงกระทำสระโบกขรณีในพื้นที่ในภายในพระนครแก่บุตรเหล่านั้น”

เมื่อนางนาคกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงไหว้พระราชโอรสแล้วทำประทักษิณ (การเวียนรอบสิ่งอันเป็นที่รัก คล้ายในหนังอินเดีย) โอบกอดพวกบุตร ให้นั่งระหว่างกันพลันจูบที่ศีรษะ และมอบให้แก่พระราชโอรส นางร้องไห้คร่ำครวญ แล้วกลับไปยังพิภพนาคตามเดิม ฝ่ายพระราชโอรสถึงความโทมนัส (เสียใจ) มีพระเนตรนองด้วยน้ำตา ออกจากนิเวศน์ เช็ดนัยนา (เช็ดน้ำตา) แล้วเข้าไปหาพวกอำมาตย์ พวกอำมาตย์จึงทำการอภิเษกพระราชโอรสเป็นพระราชา ณ ที่แห่นี้แล้วทูลว่า “ข้าแต่สมมติเทพ พวกข้าจะพาพระองค์จะไปยังนครของพระองค์ พระเจ้าข้า” พระราชาตรัสว่า “ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงจึงรีบขุดเรือยกขึ้นสู่เกวียนให้เต็มด้วยน้ำ ขอท่านจงเกลี่ยดอกไม้ต่างๆ อันสมบูรณ์ด้วยสีและกลิ่นบนหลังน้ำ บุตรทั้งหลายของเราผู้มีพืชแต่น้ำ บุตรเหล่านั้นเล่นน้ำ ในที่นั้น จักไปสบาย” พวกอำมาตย์จึงทำตามนั้น

พระราชาเสด็จถึงกรุงพาราณสี เสด็จเข้าไปยังนครที่ตบแต่งไว้ แวดล้อมไปด้วยหญิงนักฟ้อน และอำมาตย์เป็นต้นประมาณ 16,000 คน ประทับนั่งบนพื้นใหญ่ เสวยน้ำมหาปานะ 7 วัน แล้วให้สร้างสระโบกขรณี เพื่อประโยชน์แก่โอรสและธิดา

โอรสและธิดาได้เล่นน้ำในที่นั้นเนืองนิตย์ ภายหลังวันหนึ่ง มีเต่าตัวหนึ่งเข้ามายังสระโบกขรณีแล้วหาที่ออกไม่ได้ จึงดำลงในพื้นสระโบกขรณี (สระบัว) ในเวลาโอรสและธิดาลงเล่นน้ำ ก็ผุดขึ้นจากน้ำโผล่ศีรษะขึ้นมา พอเห็นโอรสและธิดา ก็ดำลงไปในน้ำอีก โอรสและธิดาเห็นเต่านั้นจึงสะดุ้งกลัว รีบไปยังสำนักของพระบิดากราบทูลว่า “ข้าแต่พ่อ ในสระโบกขรณียังมียักษ์ตนหนึ่ง ทำพวกข้าพระองค์ให้สะดุ้ง” พระราชาทรงสั่งบังคับพวกราชบุรุษ (ทหารองครักษ์) ว่า “พวกท่านจงไปจับยักษ์นั้นมา” ราชบุรุษเหล่านั้นทอดแห นำเต่าไปถวายแด่พระราชา พระโอรสและพระธิดาเห็นเต่านั้นแล้วร้องว่า “นี้ปีศาจพ่อ นี้ปีศาจพ่อ” พระราชาทรงกริ้วเต่าและด้วยความรักในบุตร จึงสั่งการไปว่า “พวกท่านจงไปทำกรรมกรณ์ (ลงโทษ)

แก่เต่านั้นเถิด” ทันใดนั้นราชบุรุษคนหนึ่งกล่าวว่า “เต่านี้เป็นผู้ก่อเวรแก่พระราชา ควรจะเอามันใส่ในครก แล้วเอาสากตำทำให้เป็นจุณ” อำมาตย์บางพวกกล่าวว่า “ควรจะปิ้งให้สุกในไฟถึง 3 ครั้งแล้วจึงกิน” อำมาตย์บางพวกกล่าวว่า “ควรจะต้มมันในกระทะนั่นแล”แต่มีอำมาตย์คนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้กลัวน้ำจึงกล่าวว่า “ควรจะโยนเต่านี้ลงในน้ำวนแห่งแม่น้ำยมุนา มันจะถึงความพินาศใหญ่ในที่นั้น เพราะกรรมกรณ์ของเต่านั้น เห็นปานนี้ย่อมไม่มี” เต่าได้ฟังถ้อยคำของอำมาตย์ผู้นี้ จึงโผล่ศีรษะขึ้น แล้วพูดว่า “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เหตุอะไรของท่าน เราทำผิดอะไร ที่ท่านวิจารถึงกรรมกรณ์ เห็นปานนี้กะเรา ก็เราสามารถอดกลั้นกรรมกรณ์นอกนี้ได้ ก็แลผู้นี้เป็นผู้หยาบช้าเหลือเกิน ท่านอย่ากล่าวคำเห็นปานนี้เลย” พระราชาทรงสดับดังนั้น ควรจะสร้างทุกข์กะเต่านี้ แหละดังนี้แล้ว จึงให้ทิ้งลงไปในน้ำวนแห่งแม่น้ำยมุนา (ถึงตอนนี้เห็นได้ชัดว่า เต่าต้องการเอาตัวรอดจึงยั่วยุให้โยนตนเองลงแม่น้ำยมุนา ดีกว่าถูกตำถูกปิ้งย่าง)

· กำเนิดทัตตะนาคราช

(พระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นพญานาค ตอนที่ 2)

เมื่อเต่านั้นถึงห้วงน้ำอันเป็นที่ไปสู่ภพนาคแห่งหนึ่ง ได้เจอกับนาคมาณพ (นาคหนุ่ม) บุตรของพญานาคราชชื่อว่าธตรฐพร้อมบริวาร กำลังเล่นอยู่ในห้วงน้ำนั้น เห็นเต่านั้นเข้าจึงกล่าวว่า “พวกท่านจงจับมันเป็นทาส” เต่านั้นคิดว่า “เราพ้นจากพระหัตถ์ของพระเจ้าพาราณสีแล้ว บัดนี้มาถึงมือของพวกนาคผู้หยาบช้าเห็นปานนี้ เราจะพึงพ้นด้วยอุบายอะไรหนอ” เต่านั้นคิดว่า อุบายนี้ใช้ได้ เราจะพึงพูดมุสาวาท จึงจะพ้น (จะต้องโกหกเพื่อเอาตัวรอดอีกแล้ว) แล้วกล่าวว่า “พวกท่านมาจากสำนักของพระยานาคชื่อว่าธตรฐ เพราะเหตุไร ท่านจึงกล่าวกะเราอย่างนี้ เราเป็นเต่าชื่อว่า “จิตตจูฬ” เป็นทูตแห่งพระเจ้าพาราณสีมายังสำนักของพญานาคราชชื่อว่า ธตรฐ พระราชาของเรา ประสงค์จะให้ธิดาแก่พระยานาคชื่อว่าธตรฐ จึงส่งเรามา ขอท่านจงแสดงเราแก่ พระยานาคนั้นเถิด” นาคมาณพเหล่านั้นก็เชื่อแล้วเกิดความยินดีจึงพาเต่าไปหาพญาธตรฐนาคราช พระองค์รับสั่งให้เรียกเต่านั้นมาด้วยคำว่า “จงนำมันมาเถิด” พอเห็นเต่านั้นจึงพอพระทัยและตรัสว่า “ผู้มีร่างลามกเห็นปานนี้ ไม่สามารถจะทำทูตกรรม” (คือสภาพแบบนี้ไม่น่าจะเป็นทูตได้นะ ประมาณนั้น) เต่าได้ฟังดังนั้นจึงกราบทูลว่า “ข้าแต่มหาราชเจ้า ก็ชื่อว่าผู้เป็นทูต จะพึงมีร่างกายประมาณเท่าลำตาลหรือ ความจริงร่างกายเล็กหรือน้อย ไม่เป็นประมาณ การทำกรรมในที่ที่ไปแล้ว แล้วให้สำเร็จนั่นแล เป็นประมาณ ดังนั้น ข้าแต่มหาราชเจ้า ทูตเป็นอันมากของพระราชาของเราเป็นมนุษย์ ย่อมทำกรรมบนบก นกย่อมทำกรรมบนอากาศ ข้าพระองค์ชื่อว่าจิตตจูฬ ถึงฐานันดรเป็นที่โปรดปรานของพระราชา เป็นผู้ปกครองหมู่บ้าน ย่อมทำกรรมในน้ำ ขอพระองค์อย่าข่มขู่ ดูหมิ่นข้าพระองค์”

พญานาคราชธตรฐจึงถามกับเต่านั้นว่า “ก็ท่านเป็นผู้อันพระราชาส่งมาเพื่อต้องการอะไร?” เต่ากล่าวว่า “ข้าแต่มหาราชเจ้า พระราชาของข้า ตรัสกะข้าอย่างนี้ว่า เราจะทำมิตรธรรมกับพระราชา ชาวชมพูทวีปทั้งสิ้น บัดนี้ เราควรจะทำมิตรธรรมกับพระยานาคธตรฐ เราจะให้นางสาวสมุททชาผู้เป็นธิดาของเราแก่พระยานาคธตรฐ จึงส่งข้ามาด้วยพระดำรัสว่า ขอท่านอย่ากระทำการเนิ่นช้า จงส่งบุรุษทั้งหลายไปกับข้า และกำหนดวันรับนางทาริกาเถิด” พญานาคราชนั้นยินดียิ่ง ให้กระทำสักการะแล้ว ส่งนาคมาณพ 4 ตนไปกับเต่านั้น แล้วรับสั่งว่า “พวกท่านไปเถิด จงฟังคำของพระราชา กำหนดวันแล้วจงมา” นาคมาณพเหล่านั้น รับคำสั่งแล้วจึงพาเต่าออกจากพิภพนาคไป

ระหว่างทางเต่าเห็นมีสระปทุม (สระบัว) สระหนึ่งอยู่ระหว่างแม่น้ำยมุนา กับกรุงพาราณสี จึงคิดจะหลบหนีไปด้วยอุบายอย่างหนึ่ง เลยกล่าวอย่างนี้ว่า

“ดูก่อนนาคมาณพทั้งหลาย ผู้เจริญ พระราชาของเรา และบุตรภรรยาของพระราชา เห็นเราเที่ยวไปในน้ำ ไปสู่พระราชนิเวศน์ อ้อนวอนว่า ท่านจงให้ดอกปทุมแก่เราทั้งหลาย จงให้รากเหง้าบัว เราจักถือเอารากเหง้าบัวเหล่านั้นเพื่อประโยชน์แก่เขาเหล่านั้นพวกท่านจงปล่อยข้า ในที่นี้ แม้เมื่อพวกท่านไม่เห็นข้า จงล่วงหน้าไปยังสำนักของพระราชา เราจักเห็นพวกท่านในที่นั้นนั่นแล” (เต่า จิตตจูฬหลอกเหล่านาคมาณพว่าจะต้องเก็บบัวไปถวายพระราชา) นาคมาณพเหล่านั้นเชื่อถ้อยคำ จึงได้ปล่อยเต่าไป

เต่าได้ทีจึงแอบอยู่บริเวณนั้น ฝ่ายนาคมาณพไม่เห็นเต่า จึงเข้าไปเฝ้าพระราชาด้วยเพศแห่งมาณพ (จำแลงเป็นชายหนุ่ม) ตามสัญญาว่า เราจักไปสำนักพระราชา (จบกัจฉปกัณฑ์ กัด-ฉะ-ปะ แปลว่าเต่า กัณฑ์ แปลว่าตอน, เรื่อง)

พระราชาทรงกระทำปฏิสันถาร (ต้อนรับ) แล้วตรัสถามว่า

“พวกท่านมาแต่ที่ไหน?” นาคมาณพทั้งหลายทูลว่า “ข้าแต่มหาราชเจ้า พวกข้าพระองค์มาจากสำนักของพระยานาคธตรฐ” พระราชาตรัสถามว่า “เพราะเหตุไร พวกท่านจึงมาในที่นี้” นาคมาณพทั้งหลายทูลว่า “ข้าแต่มหาราชเจ้า พวกข้าพระองค์เป็นทูตของพระยานาคธตรฐนั้น พระยานาคธตรฐถามถึง ความไม่มีโรคของพระองค์ และพระองค์ปรารถนาสิ่งใด ท่านจะให้สิ่งนั้นแก่พระองค์ ข่าวว่า พระองค์จะประทานนางสมุททชา ผู้เป็นพระธิดาของพระองค์ให้เป็นบาทปริจาริกาของพระราชาของพวกข้าพระองค์ ดังนี้แล้ว”

เมื่อจะประกาศความนั้น จึงกล่าวคาถาที่หนึ่งว่า “รัตนะอย่างใดอย่างหนึ่ง มีอยู่ในนิเวศน์ของท้าวธตรฐ รัตนะทั้งหมดนั้นจงมาสู่พระราชนิเวศน์ของพระองค์ ขอพระองค์จงทรงพระกรุณาโปรดประทาน พระราชธิดาแก่พระราชาของข้าพระองค์เถิด พระเจ้าข้า”

ครั้นพระราชาได้สดับดังนั้น จึงตรัสว่า “พวกเราไม่เคยทำการวิวาห์กับนาคทั้งหลาย ในกาลไหนๆ เลย พวกเราจะทำวิวาห์อันไม่สมควรนั้นได้อย่างไรเล่า พวกเราเป็นชาติมนุษย์จะกระทำ ความสัมพันธ์กับสัตว์ดิรัจฉานอย่างไรได้” พวกนาคมาณพได้ฟังคำดังนั้นแล้วจึงกล่าวว่า “ถ้าความสัมพันธ์กับพระยานาคธตรฐ ไม่เหมาะสมกับท่าน เมื่อเป็นเช่นนี้ เพราะเหตุไร ท่านจึงส่งเต่าชื่อว่า จิตตจูฬ ผู้อุปฐากของตนไปเป็นทูตแก่พระราชาของพวกเราว่า เราจะให้ธิดาของเราชื่อว่า สมุททชา เล่า ครั้นส่งสาสน์อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อท่านกระทำการดูหมิ่นพระราชาของพวกเรา พวกเราแลชื่อว่าเป็นนาคมาณพ จักรู้กรรมที่ควรกระทำแก่ท่าน” เมื่อจะข่มขู่พระราชา นาคมานพจึงกล่าวว่า

“ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่กว่ามนุษย์ พระองค์จำต้องทรงสละพระชนม์ชีพ หรือแว่นเคว้นเสียเป็นแน่ เพราะเมื่อพวกนาคโกรธแล้ว คนทั้งหลาย เช่นพระองค์จะมีชีวิตอยู่นานไม่ได้ ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ พระองค์เป็นมนุษย์ไม่มีฤทธิ์ มาดูหมิ่นพวกพระยานาค ธตรฐ ผู้มีฤทธิ์ ผู้เป็นบุตรของท้าววรุณนาคราช เกิดภายใต้แม่น้ำยมุนา”

เมื่อพระราชาได้ยินคำขู่นั้น จึงกล่าวว่า “เราไม่ได้ดูหมิ่นท้าวธตรฐผู้เรืองยศ ก็ท้าวธตรฐ ผู้เป็นใหญ่กว่านาคแม้ทั้งหมด ถึงจะเป็นพระยานาคผู้มีอานุภาพมาก ก็ไม่สมควรกะธิดาของเรา เราเป็นกษัตริย์ของชนชาววิเทหรัฐ (เมืองใหญ่เมืองหนึ่ง)

และนางสมุททชาธิดาของเราก็เป็นอภิชาต” (กำเนิดดีมีตระกูล)

พวกนาคมาณพได้ฟังดังนั้นแล้ว แม้ประสงค์จะฆ่าพระองค์ด้วยลมในนาสิก ในที่นี่ก็ตาม แต่ก็ฉุกคิดได้ว่า พวกเราถูกพระราชาส่งมาเพื่อให้กำหนดวัน การที่เราจะฆ่าพระราชานี้แล้วกลับไปเป็นการไม่สมควรเลย พวกเราจักกลับไปกราบทูลพระราชาของตนตามนี้ จึงออกจากราชนิเวศน์แล้วดำลงแผ่นดินไปสู่นาคพิภพ

พญาธตรฐนาคราชจึงถามว่า “พ่อทั้งหลาย พวกท่านได้ราชธิดาแล้วหรือ?” ด้วยความโกรธต่อพระราชามนุษย์ นาคมานพจึงกราบทูลว่า “ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์ส่งพวกข้าพระองค์ ไปในที่ใดที่หนึ่ง เพราะเหตุอันไม่สมควรอะไรเลย ถ้าพระองค์ปรารถนาจะฆ่า พระองค์จงฆ่าพวกข้าพระองค์เสียในที่นี้แหละ พระราชานั้นด่าบริภาษพระองค์ ยกธิดาของตนขึ้นด้วยความเมาในชาติ” (บอกว่าพระราชาด่าทอพญาธตรฐนาคราช แล้วยกยอปอปั้นพระธิดาของตนว่าไม่เหมาะสมกับนาค) เมื่อพญานาคราชได้ยินดังนั้น จึงโกรธกริ้วเป็นอย่างมาก สั่งพวกนาคทั้งหลายที่อยู่ในปกครองมาประชุมกันในทันที

เมื่อพวกนาคทั้งหมดมาประชุมกันแล้ว ทูลถามว่า “พวกข้าพระองค์จะทำอย่างไร พระเจ้าข้า” พระองค์จึงตรัสว่า “นาคของเราทั้งหมดจงรีบไปกรุงพาราณสี” และเมื่อพวกนาคเหล่านั้นกล่าวว่า “พวกข้าพระองค์ไปในที่นั้นจะพึงทำอย่างไร พระเจ้าข้า อย่างไรพวกข้าพระองค์จะทำให้เป็นขี้เถ้า โดยการประหารด้วยพ่นลมทางนาสิก” (คือจะพ่นลมจมูกให้ราบไปเลยประมาณนั้น) พญานาคราชไม่ปรารถนาความพินาศแก่นางสมุททชา เพราะมีจิตปฏิพัทธ์ในราชธิดา จึงตรัสว่า “บรรดาพวกท่านบางพวก อย่าพึงเบียดเบียนใครๆ” พวกนาคจึงกล่าวกับพระราชาว่า “ข้าแต่มหาราช ถ้าไม่เบียดเบียนมนุษย์บางคน พวกเราไปในที่นั้น แล้วจะกระทำอะไร?” พญานาคราชจึงตรัสกับพวกนาคนั้นว่า “พวกนาคทั้งหลาย จงแผ่พังพานห้อยอยู่ที่บ้านเรือนในสระน้ำ ที่ทางเดิน ที่ทาง 4 แพร่ง บนยอดไม้ บนเสาระเนียด (แนวเสารั้ว เสาค่าย) และอย่าแสดงตนแก่คน 4 คน คือ เด็กหนุ่ม คนแก่ชรา หญิงมีครรภ์ และนางสมุททชา แม้เราก็จะไปด้วยร่างกายอันใหญ่ขาวล้วน วงล้อมเมืองกาสีไว้โดยรอบ 7 ชั้น ปิดด้วยพังพานใหญ่ กระทำให้มืดมนเป็นอันเดียวกัน ให้เกิดความกลัวแก่ชนชาวกาสี”

นาคทั้งหลายได้ฟังคำของท้าวธตรฐแล้ว จึงแปลงเพศเป็นหลายอย่าง แล้วพากันเข้าไปยังกรุงพาราณสี แต่มิได้เบียดเบียนใครเลย แผ่พังพานห้อยอยู่ที่บ้านเรือน ในสระน้ำ ที่ทางเดิน ที่ทาง 4 แพร่ง บนยอดไม้ เหล่าสตรีได้เห็นนาคเหล่านั้น แผ่พังพานห้อยอยู่ ตามที่ต่างๆ หายใจฟู่ๆ ก็พากันร้องคร่ำครวญ ชาวเมืองพาราณสีมีความตื่นตระหนก เดือดร้อนจึงพากันไปประชุม กอดอกร้องทุกข์ต่อพระราชาของตนว่า “ขอพระองค์ จงพระราชทานพระราชธิดา แก่พระยานาคเถิด”

ครั้นราตรีสว่าง เมื่อนครทั้งสิ้นและพระราชนิเวศน์ ถูกปกคลุมด้วยลมหายใจเข้าออกของพวกนาค มนุษย์ทั้งหลายพากันกลัว ดังนี้แล้ว พระราชาจึงส่งทูตไปถึงท้าวธตรฐนาคราชว่า “จะให้ธิดาของเราแก่ท่าน” เมื่อพญานาคราชได้ฟังพระดำรัสดังนั้นแล้ว ก็เดินทางไปยังที่ห่างจากเมืองประมาณหนึ่งคาวุต (100 เส้น เป็น 1 โยชน์ = 16 กิโลเมตร) แล้วเนรมิตนครขึ้นแห่งหนึ่ง พร้อมส่งเครื่องราชบรรณาการไปสู่ขอพระธิดา พระราชารับไว้และกล่าวว่า “พวกท่านจงไปเถิด เราจักส่งธิดาไปใน ความคุ้มครองของพวกอำมาตย์ของเรา” แล้วรับสั่งให้เรียกธิดามาให้ขึ้นสู่ปราสาทชั้นบน ให้เปิดสีหบัญชร (หน้าต่างเวลาที่พระเจ้าแผ่นดินเสด็จออกรับแขกเมือง) แล้วให้สัญญาว่า “ดูก่อนแม่ เจ้าจงดูนครอันตบแต่งแล้วนี้ เจ้าเป็นอัครมเหสีของพระราชานี้ ในที่นครนั้นไม่ไกลแต่ที่นี้ เมื่อเวลาเจ้าเกิดความเบื่อหน่ายนครนั้นขึ้นมา เจ้าสามารถจะมาในที่นี้ได้ เจ้าพึงมาในที่นี้” กล่าวแล้วให้สนานศีรษะ ประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง ให้นั่งในวอที่ปกปิดแล้ว ได้ประทานส่งไปในความคุ้มครองของอำมาตย์ของพระองค์

พญานาคราชและบริวารทั้งหลายกระทำการต้อนรับพระราชธิดา แล้วได้กระทำมหาสักการะ อำมาตย์ทั้งหลายเข้าไปสู่พระนคร ถวายพระราชธิดานั้นแก่ท้าวเธอ และได้ถือเอาทรัพย์เป็นอันมากกลับออกมา พญานาคราชธตรฐให้พระธิดาขึ้นสู่ปราสาท ให้นอนบนที่นอนอันเป็นทิพย์ที่ประดับไว้ ในขณะนั้นนั่นเอง พวกนาคมาณพ แปลงเพศเป็นหญิงคนค่อมและคนเตี้ยเป็นต้น แวดล้อมพระธิดาเหมือนพวกบริจาริกาของมนุษย์ (คนรับใช้) พระธิดาพอนอนบนที่นอนอันเป็นทิพย์ เอนพระวรกายต้องสัมผัสอันเป็นทิพย์เท่านั้น ก็ก้าวลงสู่ความหลับ ท้าวธตรฐจึงพาพระธิดา พร้อมบริษัทนาคหายไปจากที่แห่งนั้น และไปปรากฏในพิภพนาค เมื่อพระราชธิดาตื่นขึ้น ทรงทอดพระเนตรที่บรรทม อันเป็นทิพย์ที่ตบแต่งไว้ และที่อื่นเช่นปราสาท อันสำเร็จด้วยทองคำและสำเร็จด้วยแก้วมณี พระอุทยานและสระโบกขรณีในภพนาค เหมือนเทพนครที่ตบแต่งไว้ จึงตรัสถามหญิงรับใช้ที่จำแลงกายว่า

“นครนี้ช่างตบแต่งเหลือเกิน ไม่เหมือนนครของเรา นครนั่นเป็นของใคร” หญิงบำเรอทูลว่า “ข้าแต่พระเทวี นั่นเป็นของพระสวามีของพระนาง พระเจ้าข้า ผู้ที่มีบุญน้อย ย่อมไม่ได้สมบัติ เห็นปานนี้ ท่านได้สมบัตินี้ เพราะท่านมีบุญมาก” ฝ่ายท้าวธตรฐรับสั่งให้ ตีกลองร้องประกาศไปในนาคพิภพประมาณ 500 โยชน์ว่า ผู้ใดแสดงเพศงู แด่พระนางสมุททชา ผู้นั้นจักต้องราชทัณฑ์ เพราะความสำคัญว่าเป็นโลกมนุษย์ พระนางจึงชื่นชมยินดีกับท้าวธตรฐในที่นั้นนั่นเอง อยู่สังวาสด้วยความรักด้วยอาการอย่างนี้ (จบนครกัณฑ์ จบตอนของเมือง)

ครั้นต่อมา พระนางสมุททชาทรงครรภ์ประสูติพระโอรส ทั้งหมด 4 พระองค์ องค์แรกพวกพระญาติได้ตั้งชื่อว่า “สุทัสสนะ” เพราะเห็นแล้วให้เกิดความรัก ในเวลาพระโอรสทรงดำเนินเดินได้ พระนางประสูติพระโอรสอีกองค์หนึ่ง นามว่า “ทัตตะ” (พระโพธิสัตว์ได้ถือกำเนิดแล้วในนามนี้) องค์ที่สามนามว่า “สุโภคะ” และองค์สุดท้องนามว่า “อริฏฐะ” ซึ่งแม้พระนางประสูติพระโอรส 4 พระองค์แล้ว ก็ยังไม่รู้ว่าที่ตนอยู่นั้นเป็นภพของนาค

ต่อมาวันหนึ่งพวกนาคหนุ่มบอกแก่พระโอรสอริฏฐะองค์สุดท้องว่า พระมารดาของพระองค์เป็นมนุษย์ ไม่ใช่เป็นนางนาค พระโอรสอริฏฐะ คิดว่า เราจะทดสอบพระมารดานั้น ครั้นวันหนึ่งเมื่อเสวยนมจึงนิรมิตสรีระเป็นงู เอาปลายหาง เสียดสีหลังเท้าพระมารดา พระนางเห็นร่างงูของพระโอรสอริฏฐะ จึงตกพระทัยสะดุ้งกลัวแล้วกรีดร้อง ทิ้งพระโอรสไปที่ภาคพื้น นัยน์ตาของพระโอรสนั้นแตกไปเพราะเล็บของนางเกี่ยวโดนเข้า หลังจากนั้นโลหิตก็ไหล พระราชาทรงสดับเสียงของพระนาง จึงตรัสถามว่า นั่นเสียงกรีดร้องของใคร เมื่อทราบและทรงสดับกิริยาที่พระโอรสอริฏฐะกระทำ จึงสั่งให้ประหารพระโอรสอริฏฐะนั้นเสีย

เมื่อพระนางสมุททชาทรงทราบว่า ท้าวธตรฐนาคราชทรงกริ้วพระโอรส จึงตรัสด้วยความสิเนหาในบุตรแห่งตนว่า

“พระเจ้าข้า นัยน์ตาบุตรของหม่อมฉันแตกไปแล้ว ขอพระองค์จงงดโทษให้แก่บุตรของหม่อมฉันเถิด” ท้าวธตรฐนาคราชเมื่อได้ฟังพระนางตรัสอย่างนั้น จึงตรัสตอบว่า “เราไม่อาจทำอะไรได้ จึงงดโทษให้” ก็ในวันนั้นเอง พระนางจึงได้ทราบว่า ที่แห่งนี้เป็นพิภพนาค ความเดิมแต่นั้นมา พระโอรสนามว่า อริฏฐะ ได้ชื่อว่า “อริฏฐะบอด” หรือเรียกกันในนาม

· กำเนิดพระนามภูริทัต พญานาคพระโพธิสัตว์

(พระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นพญานาค ตอนที่ 3)

ฝ่ายพระโอรสทั้ง 4 องค์ เมื่อถึงแก่ความรู้เดียงสาแล้ว ท้าวธตรฐพระบิดาทรงประทานยศและราชสมบัติแห่งละ 100 โยชน์ (ก็ตก 1,600 กิโลเมตร) นางนาคมาณวิกา (นาคสาว) พากันแวดล้อมแห่งละ 16,000 ตน เมื่อแบ่งกันแล้วพระบิดาได้เหลือราชสมบัติ 101 โยชน์เท่านั้น พระโอรสทั้ง 3 จะกลับมาเพื่อเฝ้าพระมารดาบิดาทุกเดือน มีเพียงพระทัตตะนาค (พระโพธิสัตว์) ที่มาทุกกึ่งเดือน (ครึ่งเดือน) พระทัตตะนาค ได้กล่าวถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในนาคพิภพ จึงเสด็จพร้อมกับพระบิดาไปสู่ที่อุปัฏฐากของท้าววิรูปักษ์มหาราช (ท้าววิรูปักษ์คือ 1 ใน 4 จตุโลกบาล เทวดาผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา) พระองค์ได้กล่าวแม้ปัญหาที่ตั้งขึ้นในสำนักของนาคพิภพนั้น ก็ทรงแก้ปัญหาได้ทั้งหมด เมื่อท้าวมหาราชวิรูปักข์ พร้อมด้วยนาคบริวารไปยังไตรทศบุรี (วิมานของท้าวสักกะเทวราช) นั่งแวดล้อมท้าวสักกะเทวราช ได้ถกปัญหาขึ้นในระหว่างหมู่เทพทั้งหลาย ซึ่งใครก็ไม่สามารถจะแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ มีเพียงพระทัตตะนาคเท่านั้นที่แก้ได้

ลำดับนั้น ท้าวสักกะพระเทวราชา จึงทรงบูชา พระโพธิสัตว์นั้น ด้วยของหอมและดอกไม้อันเป็นทิพย์ แล้วตรัสว่า “พ่อทัตตะ ท่านประกอบด้วยปัญญาอันไพบูลย์เสมอด้วยแผ่นดิน ตั้งแต่นี้ไปท่านจงชื่อว่า ภูริทัต” ตั้งแต่นั้นมาท่านได้ไปสู่ที่อุปัฏฐากของท้าวสักกะเทวราช เห็นเวชยันตปราสาทอันประดับประดาไว้ และสมบัติของท้าวสักกะอันน่ารื่นรมย์ยิ่งนัก เกลื่อนกล่นไปด้วยนางเทพอัปสร ทำความปรารถนาในเทวโลกแล้วคิดว่า “เราจะประโยชน์อะไรด้วยอัตภาพนี้” แล้วกลับไปสู่ภพนาค เพราะความปรารถนาจะไปเกิดในเทวโลก จึงทูลลาพระมารดาและพระบิดาว่า “พระแม่ พ่อ หม่อมฉันจะกระทำอุโบสถกรรม” (การถืออุโบสถศีล)

พระมารดาพระบิดาตรัสว่า “ดีละพ่อ จงทำเถิด ก็เมื่อเจ้าจะทำ เจ้าอย่าไปภายนอก จงกระทำในวิมานอันว่างแห่งหนึ่งในภพนาคนี้แล ก็เมื่อพวกนาคไปข้างนอก ภัยใหญ่ย่อมเกิดขึ้น” (คือให้ทำอยู่ในนาคพิภพนี่อย่าออกไปภายนอกจะเป็นภัยเอาได้) พระโพธิสัตว์ทูลรับว่า “ดีละ แล้วอยู่จำอุโบสถในพระราชอุทยาน ในวิมานอันว่างนั้นนั่นเอง”

ลำดับนั้น เหล่านางนาคมาณวิกาต่างถือเครื่องดนตรีบรรเลงแวดล้อมพระภูริทัต พระองค์จึงทรงคิดว่า “เมื่อเราอยู่ในที่นี้ อุโบสถจักไม่ถึงที่สุด เราจะไปถิ่นมนุษย์ กระทำอุโบสถ” และไม่ได้บอกแก่พระมารดาและพระบิดา เพราะกลัวจะถูกห้าม จึงเรียกภรรยาทั้งหลายของตนมากล่าวว่า “นางผู้เจริญ ฉันจะไปโลกมนุษย์ ขดขนด (เข้าสมาธิ) บนจอมปลวก ไม่ไกลแต่ที่ที่ต้นไทรใหญ่มีอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำยมุนา จักอธิษฐานอุโบสถอันประกอบด้วยองค์ 4 นอนกระทำอุโบสถกรรม เมื่อเรานอนทำอุโบสถกรรมตลอดคืนยันรุ่ง ในเวลาอรุณขึ้นนั่นแล พวกเจ้าผู้เป็นสตรี ถือดนตรีครั้งละ 10 นาง จงผลัดเปลี่ยนกันไปยังสำนักของเรา บูชาเราด้วยของหอมและดอกไม้ ขับฟ้อนแล้วกลับมายังภพนาคตามเดิม” กล่าวดังนี้แล้วเสด็จขึ้นไปขนดบนจอมปลวก แล้วอธิษฐานอุโบสถอันประกอบด้วยองค์ 4 ว่า “ผู้ใดปรารถนา หนัง เอ็น กระดูก หรือเลือด ผู้นั้นจงนำไปเถิด” แล้วนิรมิตร่างประมาณเท่างอนไถ (งอนไถเป็นชื่อดาวฤกษ์มฆา มี 5 ดวง คือ ดาวงอนไถ ดาวงูผู้ ดาวโคมูตร ดาววานร ดาวมฆะ หรือ ดาวมาฆะ คนสมัยใหม่มักไม่รู้จัก) นอนกระทำอุโบสถกรรม พออรุณขึ้น นางมาณวิกามาปรนนิบัติพระโพธิสัตว์ตามคำพร่ำสอน แล้วกลับสู่ภพนาค

เมื่อพระโพธิสัตว์กระทำอุโบสถกรรมตามทำนองนี้ ระยะเวลาก็ผ่านไปยาวนาน (จบอุโบสถกัณฑ์)

· พราหมณ์เนสาทได้สุขสบายในนาคพิภพ

(พระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นพญานาค ตอนที่ 4)

ในกาลนั้น ยังมีพราหมณ์เนสาทคนหนึ่ง (พราหมณ์ประพฤติทรามที่มีอาชีพพรานป่า, เนสาท คือ นิษาท หมายถึงคนวรรณะต่า) พราหมณ์เนสาทอาศัยอยู่ใกล้ประตูกรุงพาราณสี พร้อมกับโสมทัตลูกชาย ไปสู่ป่าเที่ยวดักสัตว์ ด้วยหลาวยนต์ (กับดักไม้แหลม) และบ่วงแร้ว (หลุมดักสัตว์) ฆ่ามฤค (มฤคคือเก้ง กวาง เนื้อทราย) ได้แล้วหาบเนื้อมาขายเลี้ยงชีพ วันหนึ่ง พราหมณ์นั้นไม่ได้อะไร โดยที่สุดแม้เพียงเหี้ยสักตัวหนึ่ง จึงกล่าวว่า ดูก่อนพ่อโสมทัต ถ้าเรากลับไปมือเปล่ามารดาของเจ้าก็จะโกรธเอา เราจักพาสัตว์สักตัวหนึ่งไปให้ได้ ดังนี้แล้วจึงบ่ายหน้าตรงไปทาง จอมปลวกที่พระโพธิสัตว์ขนดกายอยู่ เห็นรอยเท้าเนื้อทั้งหลาย ซึ่งลงไปดื่มน้ำที่แม่น้ำยมุนา จึงกล่าวว่า “ลูกพ่อ ทางเนื้อปรากฏอยู่ เจ้าจงถอยออกไป พ่อจะยิงเนื้อซึ่งมาดื่มน้ำนี้” กล่าวพลางจึงหยิบเอาธนู ยืนแอบโคนต้นไม้ต้นหนึ่ง คอยดูเนื้ออยู่ ครั้นเวลาเย็นปรากฎเนื้อตัวหนึ่งมาเพื่อดื่มน้ำ พราหมณ์นั้นยิงเนื้อนั้น แต่เนื้อก็หาล้มลงในที่นั้นไม่ ตกใจด้วยกำลังศรมีเลือดไหลวิ่งหนีไป ทางด้านพรานพราหมณ์และบุตรพากันติดตามเนื้อนั้นไป จับเอาเนื้อนั้นในที่ที่มันล้มลง แล้วออกจากป่าไปถึงต้นไทรต้นหนึ่ง ในเวลาพระอาทิตย์ตก จึงปรึกษากันว่า “บัดนี้ไม่ใช่เวลาที่สามารถจะไปได้ เราจะพักอยู่ในที่นี้แล” ดังนี้แล้วจึงเอาเนื้อวางไว้ ในที่สมควรข้างหนึ่ง แล้วก็พากันขึ้นต้นไม้นอนอยู่ที่ระหว่างค่าคบไม้ (คล้ายการนั่งห้างในป่าเพื่อความปลอดภัย คบไม้ คือ ง่ามต้นไม้ที่มีกิ่งใหญ่กับต้นแยกกัน) ครั้นพราหมณ์ตื่นขึ้นเวลาใกล้รุ่ง จึงเอียงหูคอยฟังเสียงเนื้อที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น

ขณะนั้น นางนาคมาณวิกาทั้งหลาย พากันมาตกแต่งอาสนะดอกไม้เพื่อพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์กลายก็ร่างกายจากงู นิรมิตเป็นร่างทิพย์ ประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง ประทับนั่งบนอาสนะดอกไม้ ด้วยลีลาดุจท้าวสักกเทวราช ฝ่ายนางนาคมาณวิกา ก็บูชาพระโพธิสัตว์ด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น

แล้วเหล่านางนาคบรรเลงทิพย์ดนตรีฟ้อนรำขับร้อง พราหมณ์เนสาทได้ฟังเสียงนั้นแล้วคิดว่า “นั่นเป็นใครหนอ เราใคร่จักรู้จักเสียงนั้น” ดังนี้แล้วจึงพยายามปลุกบุตรชาย “ลูกพ่อผู้เจริญ” “ลูกพ่อผู้เจริญ” (ปลุกแต่ไม่ตี่น) เมื่อไม่อาจปลุกบุตรให้ตื่นขึ้นได้ จึงคิดว่า “ลูกนี้เห็นจะเหนื่อย จงนอนไปเถิด เราจักไปคนเดียว” คิดแล้วก็ลงจากต้นไม้เข้าไปหาพระโพธิสัตว์ เหล่านางนาคมาณวิกา เห็นพราหมณ์นั้นจึงดำลงในแผ่นดิน พร้อมด้วยเครื่องดนตรีกลับไปยังนาคพิภพตามเดิม ส่วนพระโพธิสัตว์ได้นั่งอยู่แต่ผู้เดียวเท่านั้น พราหมณ์ยืนอยู่ในสำนักของพระโพธิสัตว์ และได้ถามพระโพธิสัตว์ไปว่า

“ท่านชื่ออะไร มีนัยน์ตาแดง อกผายนั่งอยู่ท่ามกลางป่า อันเต็มไปด้วยดอกไม้ สตรี 10 คนเป็นใคร ทรงเครื่องประดับล้วนแล้วแต่ทองคำ นุ่งผ้างาม ยืนเคารพอยู่ ท่านเป็นใครมีแขนใหญ่ รุ่งเรืองอยู่ในท่ามกลางป่า เหมือนไฟอันลุกโชนด้วยเปรียง ท่านคงเป็นผู้มีศักดิ์ใหญ่คนใดคนหนึ่ง เป็นยักษ์หรือเป็นนาคผู้มีอานุภาพมาก”

พระมหาสัตว์ได้ฟังดังนั้นแล้ว จึงดำริว่า “ถ้าเราจักบอกว่า เราเป็นใครคนใดคนหนึ่งที่มีฤทธิ์ ในบรรดาผู้มีฤทธ์มีท้าวสักกเทวราชเป็นต้น พราหมณ์คนนี้คงจักเชื่อแน่แท้ แต่วันนี้เราควรจะพูดความจริงอย่างเดียว เพราะอุโบสถศีล”

เมื่อจะบอกว่า ตนเป็นพญานาค จึงกล่าวว่า “เราเป็นนาคผู้มีฤทธิ์เดช ยากที่ใครจะล่วงได้ ถ้าแม้เราโกรธแล้ว พึงขบกัดชนบทที่เจริญ ให้แหลกได้ด้วยเดชมารดาของเราชื่อ สมุททชา บิดาของเราชื่อ ธตรฐ

เราเป็นน้องของสุทัสสนะ คนทั้งหลายเรียกเราว่า ภูริทัต”

เมื่อพระมหาสัตว์กล่าวอย่างนี้แล้วจึงคิดว่า “พราหมณ์นี้ เป็นผู้ดุร้ายหยาบคาย ถ้าเขาจะไปบอกแก่หมองูแล้ว พึงทำแม้อันตรายแก่อุโบสถกรรมของเราไฉนหนอ เราจะนำพราหมณ์ผู้นี้ไปยังนาคพิภพ พึงให้ยศแก่ท่านเสียให้ใหญ่โตแล้วจะพึงทำอุโบสถกรรมของเรา ให้ยืนยาวนานไปได้” ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์จึงกล่าวกับพราหมณ์นั้นอย่างนี้ว่า “ดูก่อนพราหมณ์ เราจะให้ยศแก่ท่านให้ใหญ่โต นาคพิภพเป็นสถานอันน่ารื่นรมย์นัก มาไปกันเถิด ไปในนาคพิภพนั้นด้วยกัน” พราหมณ์กล่าวว่า “ข้าแต่นาย บุตรของข้าพเจ้ามีอยู่คนหนึ่ง เมื่อบุตรนั้นมา ข้าพเจ้าก็จักไป”

เมื่อนั้น พระมหาสัตว์จึงกล่าวว่า “ดูกรพราหมณ์ ท่านจงไปนำบุตรของท่านมาเถิด” เมื่อจะบอกที่อยู่ของพระองค์ จึงกล่าวความว่า

“ท่านเพ่งดูห้วงน้ำลึกวนอยู่ทุกเมื่อ ห้วงน้ำนั้น เป็นที่อยู่อันรุ่งเรืองของเรา ลึกหลายร้อยชั่วบุรุษ ท่านอย่ากลัวเลย จงเข้าไปยังแม่น้ำยมุนา เป็นแม่น้ำที่มีสีเขียวไหลจากกลางป่า กึกก้องด้วยเสียงนกยูงและนกกระเรียน เป็นที่เกษมสำราญของผู้มีอาจารวัตร” “ไปเถิดพราหมณ์ไปนำบุตรมา” พราหมณ์จึงไปบอกความนั้นแก่บุตร แล้วพาบุตรนั้นมา พระมหาสัตว์พาพราหมณ์กับบุตรทั้งสอง ไปยังฝั่งแม่น้ำยมุนา ยืนอยู่ที่ริมฝั่งน้ำแล้วกล่าวว่า “ดูก่อนพราหมณ์ ท่านพร้อมด้วยบุตรไปถึงนาคพิภพแล้ว เราจะบูชาท่านด้วยกามทั้งหลาย ท่านจักอยู่เป็นสุข”

ก็แลพระมหาสัตว์ ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงนำบิดาและบุตรทั้งสอง ไปยังนาคพิภพด้วยอานุภาพของตน เมื่อบิดาและบุตรทั้งสอง ไปถึงนาคพิภพ อัตภาพก็ปรากฏเป็นทิพย์ ในลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ก็ยกสมบัติทิพย์ให้แก่ บิดาและบุตรทั้งสองนั้นมากมาย และได้ให้นางนาคกัญญาคนละ 400 ทั้งสองคนนั้นก็บริโภคสมบัติใหญ่ อยู่ในนาคพิภพนั้น

ฝ่ายพระโพธิสัตว์ก็มิได้ประมาท ไปกระทำอุปัฏฐากพระชนกและชนนี ทุกกึ่งเดือน แสดงธรรมกถาถวาย และต่อแต่นั้นก็ไปยังสำนักของพราหมณ์ ถามถึงความไม่มีโรค (คือการถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ) แล้วกล่าวว่า “ท่านต้องการสิ่งใด ก็พึงบอกไปเถิด อย่าเบื่อหน่าย จงรื่นเริง” ดังนี้แล้ว ได้กระทำปฏิสันถาร กับท่านโสมทัต (บุตรของพราหมณ์) แล้วไปยังนิเวศน์ของพระองค์

พราหมณ์อยู่นาคพิภพได้หนึ่งปี เพราะเหตุที่ตนมีบุญน้อย ก็เกิดเบื่อหน่ายใคร่จะไปโลกมนุษย์ เห็นนาคพิภพปรากฏเหมือนโลกันตนรก ปราสาทอันประดับงดงาม ก็ปรากฏเหมือนเรือนจำ นางนาคกัญญาที่ตกแต่งสวย ปรากฏเหมือนนางยักษิณี พราหมณ์จึงคิดว่า เราเบื่อหน่ายเป็นอันดับแรก เราจักรู้ความคิดของโสมทัตบ้าง ดังนี้แล้วจึงไปยังสำนักของท่านโสมทัตแล้ว ถามว่า “ดูก่อนพ่อโสมทัต ท่านเบื่อหน่ายหรือไม่” ท่านโสมทัตย้อนถามว่า “ข้าแต่พ่อ ข้าจักเบื่อหน่าย เพราะเหตุอะไร ข้าไม่เบื่อหน่าย ก็พ่อเบื่อหน่ายหรือ” พราหมณ์ตอบว่า “เออ เราเบื่อหน่ายอยู่” โสมทัตถามว่า “เบื่อหน่ายเพราะเหตุไร” พราหมณ์ตอบว่า “ดูก่อนเจ้า พ่อเบื่อหน่ายด้วยมิได้เห็นมารดา และพี่น้องของเจ้า พ่อโสมทัตจงมาไปด้วยกันเถิด”โสมทัตแม้กล่าวว่า จะไม่ไป แต่เมื่อบิดาอ้อนวอนแล้วอ้อนวอนเล่าก็รับคำตามนั้น

พราหมณ์จึงคิดว่า เราได้ความตกลงใจของบุตรเป็นอันดับแรกแล้ว แต่ถ้าจะบอกพระภูริทัตว่า เราเบื่อหน่าย พระภูริทัตก็จักอวยยศแก่เรามากขึ้นไปอีก เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็จะไม่ได้ไป เราจะต้องพรรณนายกย่องสมบัติของพระภูริทัต ด้วยอุบายอย่างหนึ่ง เมื่อสบโอกาสจะทูลถามพระภูริทัตว่า ที่พระภูริทัตละสมบัติถึงเพียงนี้ ไปทำอุโบสถกรรมที่มนุษย์โลกนั้น เพราะเหตุใด ถ้าตอบว่า ต้องการจะไปสวรรค์ เราก็จักทูลให้ทราบความหมายของเราว่า “สมบัติมีถึงอย่างนี้แล้ว ท่านยังละไปทำอุโบสถกรรม เพื่อต้องการจะไปสวรรค์ เพราะเหตุใดเล่า คนอย่างเราจะมาเลี้ยงชีวิตอยู่ ด้วยทรัพย์ของผู้อื่น เราจักไปมนุษย์โลกเยี่ยมญาติ แล้วบวชบำเพ็ญสมณธรรม ดังนี้ พระภูริทัตคงจักอนุญาตให้ไปเป็นแน่”

ครั้นพราหมณ์คิดได้ดังนี้ ต่อมาวันหนึ่ง พอพระโพธิสัตว์มาเยี่ยมและถามว่า เบื่อหรือไม่ ก็ตอบว่า “ข้าพเจ้าจักเบื่อหน่ายเพราะเหตุอะไร สิ่งของเครื่องบริโภคที่ได้ แต่สำนักของพระองค์ มิได้บกพร่องสักอย่างหนึ่ง” ในระยะนี้ พราหมณ์ไม่ได้แสดงถึงเรื่องที่จะไปจากที่นี่ ตั้งต้นก็กล่าวพรรณนา ถึงสมบัติของพระโพธิสัตว์ เพื่อให้พระองค์วางพระทัยว่าอยากอยู่ที่นี่มาก โดยกล่าว่า “แผ่นดินนี้มีพื้นอันราบเรียบ ประกอบด้วยต้นกฤษณาเป็นอันมาก ดารดาษด้วยหมู่แมลงค่อมทอง มีหญ้าเขียวชอุ่มงามอุดม หมู่ไม้อันน่ารื่นรมย์ สระโบกขรณีที่สร้างไว้สวยงาม ระงมด้วยเสียงหงส์ มีดอกปทุมร่วงหล่นอยู่เกลื่อนกลาด มีปราสาท 8 มุม มีเสา 1,000 เสา สำเร็จด้วยแก้วไพฑูรย์ เรืองจรูญด้วยเหล่านางนาคกัญญา พระองค์เป็นผู้บังเกิดในวิมานทิพย์อันกว้างใหญ่ เป็นวิมานเกษมสำราญรื่นรมย์ มีความสุขหาสิ่งใดจะเปรียบปานมิได้ ด้วยบุญของพระองค์ พระองค์เห็นจะไม่ทรงหวังวิมานของพระอินทร์ เพราะฤทธิ์อันยิ่งใหญ่ไพบูลย์ของพระองค์นี้ เหมือนของท้าวสักกเทวราชผู้รุ่งเรือง ฉะนั้น”

พระมหาสัตว์ ครั้นได้ฟังดังนั้นแล้วจึงกล่าวว่า “ดูก่อนพราหมณ์ ท่านอย่าพูดอย่างนั้นเลย ยศศักดิ์ของเราหากเทียบกับ ยศศักดิ์ของท้าวสักกเทวราชแล้ว นับว่าต่ำมาก ปรากฏเหมือนเมล็ดพันธุ์ผักกาดใกล้ภูเขาสิเนรุ พวกเราก็มีค่าไม่ถึง แม้ด้วยคนบำเรอของท่าน” “อานุภาพของคนบำรุงบำเรอชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งอยู่ในอำนาจของท้าวสักกเทวราชผู้รุ่งเรือง ซึ่งใครๆ ไม่พึงถึงด้วยใจ”

พระองค์ทรงตรัสว่า “ดูก่อนพราหมณ์ ใครๆ ไม่พึงถึงด้วยใจ คือแม้ด้วยจิตว่า ชื่อว่า ยศศักดิ์ของท้าวสักกเทวราช จะมีเพียงเท่านี้ คือ 1-2-3-4 วันเท่านั้น ยศศักดิ์ของสัตว์เดรัจฉานของเรายังไม่ถึงเสี้ยวที่ 16 แห่งยศศักดิ์ของท้าวมหาราชทั้ง 4 ก็ดี ของท้าวโลกบาลทั้ง 4 ผู้บำรุงบำเรอ เที่ยวทำให้เป็นผู้ใหญ่ผู้นำก็ดี” “เราได้ยินท่านพูดว่า นี้เป็นวิมานของท่านผู้มีพระเนตร ตั้ง 1,000 เราก็ระลึกได้เพราะว่า เราปรารถนาเวชยันตปราสารท (เวชยันตปราสารท คือชื่อวิมานของพระอินทร์) จึงกระทำอุโบสถกรรม”

เมื่อพราหมณ์ครั้นได้ฟังดังนั้นแล้ว ถึงความโสมนัส (ดีใจ) ว่า บัดนี้เราได้โอกาสแล้ว เมื่อจะลาไป จึงกล่าวว่า “ข้าพระองค์กับทั้งบุตร เข้าไปสู่ป่าแสวงหามฤค มานานวัน พวกญาติทางบ้านเหล่านั้นไม่รู้ว่าข้าพระองค์ตายหรือเป็น ข้าพระองค์จะขอทูลลา พระภูริทัตผู้ทรงยศเป็นโอรสแห่งกษัตริย์กาสี กลับไปยังมนุษยโลก พระองค์ทรงอนุญาตแล้ว ข้าพระองค์ก็จะไปเยี่ยมหมู่ญาติ พระเจ้าข้า”

พระโพธิสัตว์กล่าวว่า “การที่ท่านได้มาอยู่ในสำนักของเรานี้ เป็นความพอใจของเราหนอ แต่ว่ากามารมณ์เช่นนี้ เป็นของไม่ได้ง่ายในมนุษย์ ถ้าท่านไม่ปรารถนาจะอยู่ เราจะบูชาท่านด้วยกามารมณ์ทั้งหลาย เราอนุญาตให้ท่านไปเยี่ยมญาติได้โดยสวัสดี” ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์จึงคิดว่า พราหมณ์นี้ เมื่อได้อาศัยเราเลี้ยงชีพเป็นสุข คงจะไม่บอกแก่ใครๆ เราจักให้แก้วมณีอันให้ความใคร่ทุกอย่างแก่พราหมณ์นี้ จึงกล่าวว่า “ดูก่อนพราหมณ์ ท่านจงรับเอาทิพยมณีนี้ไป เมื่อท่านทรงทิพยมณีนี้ไป จะต้องการปศุสัตว์ก็ดี บุตรก็ดี หรือปรารถนาอะไรอื่นก็ดี

ก็จะได้สมประสงค์ทุกประการ ท่านจงปราศจากโรคภัยเป็นสุขเถิด”

พราหมณ์จึงกล่าวว่า “ดูก่อนภูริทัต พระดำรัสของท่านเป็นกุศล ไม่มีโทษ ข้าพระองค์ยินดีพระดำรัสนั้นยิ่งนักไม่ปฏิเสธ แต่ข้าพระองค์แก่แล้ว เพราะฉะนั้นข้าพระองค์จักบวช” (พราหมณ์เนสารทปฏิเสธการรับแก้วมณีสารพัดนึก)

พระมหาสัตว์จึงกล่าวว่า “ดูก่อนพราหมณ์ ชื่อว่าการอยู่พรหมจรรย์ เป็นการทำได้ยากยิ่ง ถ้าหากในกาลใด พรหมจรรย์ที่เราไม่ยินดี มีการต้องละเลิก ในกาลนั้น กิจที่ต้องทำด้วยโภคทรัพย์ทั้งหลาย ของผู้เป็นคฤหัสถ์มีอยู่ ในกาลเช่นนี้ ท่านอย่าได้หวาดหวั่นใจไปเลย ควรมาสำนักเรา เราจะให้ทรัพย์แก่ท่านมากๆ”

พราหมณ์ได้ฟังจึงกล่าวว่า “ข้าแต่พระภูริทัต พระดำรัสของพระองค์หาโทษมิได้ ข้าพระองค์ยินดียิ่งนัก ข้าพระองค์จะกลับมาอีก ถ้าจักมีความต้องการ”

พระภูริทัตตรัสดำรัสนี้แล้ว จึงใช้ให้นาคมาณพ 4 ตนไปส่งโดยกล่าวว่า “ท่านทั้งหลายจงมา เตรียมตัวพาพราหมณ์ไปส่งให้ถึงโดยเร็ว” นาคมาณพทั้ง 4 ตนรับสั่งของพระภูริทัต จึงเตรียมตัวแล้วพาพราหมณ์ไปส่งให้ถึงโดยเร็ว

ฝ่ายพราหมณ์เมื่อเดินทางถึงฝั่งน้ำ จึงบอกแก่บุตรว่า “ดูก่อนพ่อโสมทัต เรายิงมฤคในที่นี้ สุกรในที่นี้” ดังนี้แล้วจึงเดินไป เห็นสระโบกขรณีในระหว่างทางเกิดอยากอาบน้ำสรงกายขึ้นมา จึงกล่าวว่า “พ่อโสมทัต อาบน้ำกันเถิด” เมื่อท่านโสมทัตกล่าวว่า “ดีละพ่อ” ทั้งสองคนจึงเปลื้องเครื่องอาภรณ์อันเป็นทิพย์ และผ้าทิพย์ แล้วห่อวางไว้ริมฝั่งสระโบกขรณี ลงไปอาบน้ำ ขณะนั้น เครื่องอาภรณ์และผ้าทิพย์เหล่านั้น ได้หายไปยังนาคพิภพตามเดิม ผ้านุ่งห่มผืนเก่า กลับสวมใส่ในร่างของคนทั้งสองนั้นก่อน แม้ธนูศรและหอกได้ปรากฏตามเดิม ฝ่ายท่านโสมทัตร้องว่า “ท่านทำเราให้ฉิบหายแล้วพ่อ” ลำดับนั้น บิดาจึงปลอบท่าน โสมทัตว่า

“อย่าวิตกไปเลยลูกพ่อ เมื่อมฤคมีอยู่เราฆ่ามฤคในป่าเลี้ยงชีวิต” มารดาท่านโสมทัตทราบการมาของคนทั้งสอง จึงต้อนรับนำไปสู่เรือน จัดข้าวน้ำเลี้ยง ดูให้อิ่มหนำสำราญ พราหมณ์บริโภคอาหารเสร็จแล้วก็หลับไป ฝ่ายนางจึงถามบุตรว่า “พ่อโสมทัต ทั้ง 2 คนหายไปไหนมานานจนถึงป่านนี้”

โสมทัตตอบว่า “ข้าแต่แม่ พระภูริทัตนาคราชพาข้ากับบิดาไปยังนาคพิภพ เพราะเหตุนั้น เราทั้งสองคิดถึงแม่ จึงกลับมาถึงบัดนี้” มารดาถามว่า “ได้แก้วแหวนอะไรๆ มาบ้างเล่า” โสมทัตตอบว่า “ไม่ได้มาเลยแม่” มารดาถามว่า “ทำไมพระภูริทัตไม่ให้อะไรบ้างหรือ” โสมทัตตอบว่า “พระภูริทัตให้แก้วสารพัดนึกแก่พ่อ พ่อไม่รับเอามา” มารดาถามว่า “เหตุไรพ่อเจ้าจึงไม่รับ” โสมทัตตอบว่า “ข้าแต่แม่ ข่าวว่าพ่อจักบวช” นางพราหมณีนั้นโกรธว่า บิดาทิ้งทารกให้เป็นภาระแก่เรา ตลอดกาลประมาณเท่านี้ ไปอยู่เสียในนาคพิภพ ข่าวว่าเดี๋ยวนี้จะบวช ดังนี้แล้วจึงตีหลังพราหมณ์ด้วยพลั่วสาดข้าว แล้วขู่คำรามว่า “อ้ายพราหมณ์ผู้ชั่วร้าย ข่าวว่าจักบวช ภูริทัตให้แก้วมณีก็ไม่รับ ทำไมไม่บวช กลับมาที่นี้ทำไมอีกเล่า จงรีบออกไปให้พ้นเรือนกู” ลำดับนั้น “พราหมณ์จึงปลอบนางพราหมณีว่า เจ้าอย่าโกรธข้าเลย เมื่อมฤคในป่ายังมีอยู่ข้าจะไปฆ่ามาเลี้ยงเจ้า” ดังนี้แล้วก็จากที่นั้นไปป่าพร้อมด้วยบุตร หาเลี้ยงชีวิตโดยทำนองในก่อนแล (จบเนสาทกัณฑ์)

· ตำนานมนต์อาลัมพายน์

(พระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นพญานาค ตอนที่ 5)

ในกาลนั้น ยังมีครุฑตนหนึ่ง อาศัยอยู่ที่ต้นงิ้ว ทางมหาสมุทรภาคใต้ กระพือลมปีก แหวกน้ำในมหาสมุทรลงไป จับศีรษะนาคราชได้ตนหนึ่ง แท้จริงในกาลนั้น ครุฑทั้งหลาย ยังไม่รู้จักวิธีจับนาค ครั้นภายหลัง จึงรู้จักวิธีจับนาคอย่างในปัณฑรกชาดก (อ่านได้ที่เรื่องครุฑยุดนาคในบทตำนานต่อไป) แต่ครุฑตัวนั้น เมื่อจับนาคทางศีรษะ กระพือปีกแหวกน้ำยังไม่ทันน้ำจะท่วมมาถึง ก็หิ้วนาคขึ้นได้ จึงปล่อยให้นาคห้อยหางลง แล้วพาบินไปเบื้องบนป่าหิมพานต์ ในกาลนั้นมีพราหมณ์ชาวกาสิกรัฐผู้หนึ่ง (กาสิกคือชื่อเมือง) ออกบวชนามว่า “ฤาษีโกสิยโคตร” สร้างบรรณศาลาอาศัยอยู่ในหิมวันตประเทศ (ชายป่า) ที่สุดจงกรมของฤาษีนั้น มีต้นไทรใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง ฤาษีนั้นทำที่พักผ่อนหย่อนใจ ในกลางวันที่โคนต้นไทรนั้น

ครุฑหิ้วนาคผ่านไปถึงตรงยอดไทร นาคปล่อยหางห้อยอยู่ นาคจึงเอาหางพันรอบต้นไทรด้วยหมายใจจะให้พ้นจากครุฑ ครุฑมิทันรู้ก็โผบินขึ้น เพราะมันมีกำลังมาก ต้นไทรพร้อมทั้งรากติดหางนาคไปด้วย เมื่อครุฑพานาคไปถึงต้นงิ้วที่พำนักของตน ก็จิกด้วยจะงอยปาก ฉีกท้องนาคกินมันเหลว และทิ้งร่างลงไปในท้องมหาสมุทร ต้นไทรก็ตกลงมหาสมุทรเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ครุฑจึงสงสัยว่า เสียงอะไร ก็มองไปดูเบื้องต่ำ แลเห็นต้นไทร จึงคิดในใจว่า “ต้นไทรนี้เราถอนมาแต่ไหน” ก็นึกได้โดยถ่องแท้ว่า ต้นไทรนั้นอยู่ท้ายที่จงกรมของพระดาบส ตัวเราจะปรากฏว่า ทำอกุศลกรรมหรือไม่หนอ เราจักไปถามดาบสผู้นั้นดูก็จะรู้ได้ ดังนี้แล้วก็แปลงเพศ เป็นมาณพน้อยไปสู่สำนักพระดาบส เพื่อถามความแห่งอกุศลกรรมของตน

ขณะนั้นพระดาบสกำลังปรับที่ตรงโคนต้นไทรนั้นให้สม่ำเสมอ พญาครุฑไหว้พระดาบสแล้วก็นั่งอยู่ ณ ที่สมควร ทำทีประหนึ่งว่าไม่รู้ จึงแกล้งถามไปว่า “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าผู้เจริญ ที่ตรงนี้เดิมเป็นที่อยู่ของอะไร” ดาบสตอบว่า “ดูก่อนท่านผู้มีอายุ สุบรรณตนหนึ่งนำนาคมา เพื่อเป็นภักษาหาร เมื่อนาคเอาหางพัน คาคบต้นไทรด้วยหมายจะให้พ้น สุบรรณนั้นมิทันรู้บินไปโดยเร็ว เพราะความที่ตนมีกำลังมาก เมื่อเป็นเช่นนี้ต้นไม้ในที่นี้ ก็ถูกถอนขึ้นทันที ที่ตรงนี้แหละเป็นที่แห่งต้นไทรนั้นถอนขึ้น” พญาครุฑถามต่อว่า “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าผู้เจริญ อกุศลกรรมจะมีแก่สุบรรณหรือไม่” ดาบสตอบว่า “ถ้าหากว่า สุบรรณนั้นไม่รู้อกุศลกรรมก็ไม่มี เพราะไม่มีเจตนา” พญาครุฑจึงถามว่า “ก็อกุศลกรรมจะมีแก่นาคนั้นหรือไม่เล่าเจ้าข้า” ดาบสตอบว่า “นาคก็มิได้จับเหนี่ยวไว้เพื่อจะให้ต้นไทรเสียหาย จับเหนี่ยวไว้เพื่อจะให้พ้นภัย เพราะเหตุนั้นอกุศลกรรมก็ไม่มีแก่นาคนั้นเหมือนกัน”

พญาสุบรรณได้ฟังคำของดาบสก็ยินดีจึงกล่าวว่า “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าผู้เจริญ ข้าพเจ้านี้แหละ คือสุบรรณนั้น ข้าพเจ้ายินดีด้วยพระผู้เป็นเจ้าแก้ปัญหา ข้าพเจ้ารู้มนต์ชื่อว่า อาลัมพายน์ บทหนึ่งหาค่ามิได้ ข้าพเจ้าจะถวายมนต์นั้นแก่พระผู้เป็นเจ้า ให้เป็นส่วนบูชาอาจารย์ พระผู้เป็นเจ้าจงรับไว้เถิด” ดาบสกล่าวว่า “พอละ เราไม่ต้องการด้วยมนต์ ท่านจงไปเถิด” พญาครุฑวิงวอนอยู่บ่อยครั้ง จนพระดาบสยอมรับ แล้วจึงถวายมนต์พร้อมบอกสูตรยาแก้พิษนาคแก่ดาบสแล้วก็หลีกไป (จบครุฑกัณฑ์)

ในกาลนั้น ยังมีพราหมณ์อีกผู้หนึ่งในกรุงพาราณสี กู้ยืมหนี้สินไว้มากมาย ถูกเจ้าหนี้ทั้งหลายทวงถามก็คิดว่า เราจะอยู่ในเมืองนี้ไปทำไมอีก เข้าไปตายเสียในป่ายังประเสริฐกว่า ดังนี้แล้วจึงออกจากบ้านเข้าไปในป่า จนบรรลุไปถึงอาศรมแห่งพระฤาษีท่านนั้น พราหมณ์ปฏิบัติต่อพระดาบสให้ยินดีด้วยวัตตสัมปทาคุณ (ปฎิบัติตนให้ถึงพร้อมซึ่งความดี) พระดาบสคิดว่า พราหมณ์ผู้นี้เป็นผู้มีอุปการะแก่เรายิ่งนัก เราจักให้ทิพยมนต์ ซึ่งสุบรรณราชเคยให้เราไว้ มอบแด่พราหมณ์ผู้นี้ ดังนี้แล้วก็บอกพราหมณ์ว่า “ดูก่อนพราหมณ์ เรารู้มนต์ชื่อว่าอาลัมพายน์ จักให้มนต์นั้นแก่ท่าน ท่านจงเรียนมนต์นั้นไว”" แม้เมื่อพราหมณ์นั้นห้ามว่า “อย่าเลย ข้าพเจ้าไม่ต้องการมนต์” พระดาบสก็อ้อนวอนแล้วอ้อนวอนเล่า จนพราหมณ์รับถ้อยคำ แล้วจึงให้มนต์ และบอกยาอันประกอบกับมนต์และอุปจารแห่งมนต์ (วิธีการใช้) ทันใดพราหมณ์นั้นก็คิดได้ว่า เราได้อุบายที่จะเลี้ยงชีพแล้ว ก็พักอยู่ต่อ 2-3 วัน แล้วอ้างเหตุว่า โรคลมเบียดเบียน จึงกราบไหว้พระดาบส ขอขมาโทษแล้วก็ออกจากป่าไป จนถึงฝั่งแม่น้ำยมุนาโดยลำดับ เดินสาธยายมนต์นั้นไปตามหนทางใหญ่

ขณะนั้น นางนาคมาณวิกาบาทบริจาริกาของพระภูริทัต ประมาณ 1,000 ตน ต่างถือเอาแก้วมณีที่ให้ ความปรารถนาทุกอย่างนั้น ออกจากนาคพิภพ แล้ววางแก้ววิเศษไว้บนกองทราย ริมฝั่งแม่น้ำยมุนา นางนาคพากันเล่นน้ำตลอดคืน ด้วยแสงสว่างแห่งแก้วมณีนั้น ครั้นอรุณขึ้น จึงพากันตกแต่งกายด้วยเครื่องอาภรณ์ทั้งปวง นั่งล้อมแก้วมณีให้สิริเข้าสู่กาย (ให้รัศมีดวงแก้วเข้าสู่กายตน) ฝ่ายพราหมณ์ก็เดินสาธยายมนต์มาถึงที่นั่น เหล่านางนาคมาณวิกาได้ยินเสียงมนต์ สำคัญว่า เสียงพราหมณ์นั้นเป็นพญาครุฑ ก็สะดุ้งกลัวเพราะมรณภัย ไม่ทันหยิบแก้วมณี ก็พากันแทรกปฐพีไปยังนาคพิภพ พราหมณ์เห็นแก้วมณีก็ดีใจว่า มนต์ของเราสำเร็จผลเดี๋ยวนี้แล้ว ก็หยิบเอาแก้วมณีนั้นไป การที่พราหมณ์ท่องบ่นมนต์นี้จึงเรียกขานนามตัวเองว่า “อาลัมพายน์พราหมณ์” และทำตัวประดุจหมองูผู้ยิ่งใหญ่ในกาลต่อมา

ขณะนั้น พราหมณ์เนสาท พร้อมโสมทัตบุตรชาย เข้าไปสู่ป่า เพื่อล่าเนื้อ เห็นแก้วมณีวิเศษในมือของอาลัมพายน์พราหมณ์ จึงกล่าวกับบุตรว่า “ดูก่อนโสมทัต แก้วมณีดวงนี้ ที่พระภูริทัตให้แก่เรา มิใช่หรือ” โสมทัตตอบ “ใช่แล้วพ่อ” พราหมณ์เนสาท “ถ้าเช่นนั้นเราจะกล่าวโทษแก้วมณีดวงนั้น หลอกพราหมณ์เอาแก้วมณีนี้เสีย” โสมทัตจึงว่า “ข้าแต่พ่อ เมื่อพระภูริทัตให้ครั้งก่อนพ่อไม่รับ แต่บัดนี้ กลับจะไปหลอกพราหมณ์เล่า นิ่งเสียเถิด” พราหมณ์เนสาทจึงกล่าวว่า “เรื่องนั้นยกไว้ก่อน เจ้าคอยดู เราหลอกตานั่นเถิด” ว่าแล้วเมื่อจะปราศรัยกับอาลัมพายน์พราหมณ์ จึงกล่าวว่า “แก้วมณีที่สมมติว่าเป็นมงคล เป็นของดี เป็นเครื่องปลื้มรื่นรมย์ใจเกิดแต่หิน สมบูรณ์ด้วยลักษณะที่ท่านถืออยู่นี้ ได้มาอย่างไร” อาลัมพายน์พราหมณ์กล่าวว่า “วันนี้เราเดินไปตามทาง แต่เวลาเช้าตรู่ เดินไปตามหนทางใหญ่ได้พบแก้วมณี แวดล้อมโดยรอบ ด้วยนางนาคมาณวิกา ผู้มีตาแดงประมาณ 1,000 ตน ก็นางนาคมาณวิกาทั้งหมดนั้นเห็นเราเข้า สะดุ้งตกใจแล้ว พากันทิ้งแก้วมณีนี้หนีไป”

พราหมณ์เนสาทประสงค์จะลวงอาลัมพายน์นั้น จึงประกาศโทษแห่งแก้วมณีว่า “แก้วมณีอันเกิดแต่หินนี้ ที่สั่งสมมาได้ด้วยดี อันบุคคลเคารพบูชา ประดับประดา เก็บรักษาไว้ดี ทุกเมื่อยังประโยชน์ทั้งปวงให้สำเร็จได้ เมื่อบุคคลปราศจาก การระวังในการเก็บรักษา หรือในการประดับประดา แก้วมณีอันเกิดแต่หินนี้ ที่บุคคลหามาได้โดยไม่แยบคาย ย่อมเป็นไปเพื่อความพินาศ คนผู้ไม่มีกุศล ไม่ควรประดับแก้วมณี อันเป็นทิพย์นี้” “ทองคำแท่งมีมากในเรือนของเรา เราจะให้แท่งทอง 100 แท่งแก่ท่าน ท่านจงปกครองแท่งทองนั้น แล้วจงให้แก้วมณีแก่เรา แม้แท่งทองในเรือนของท่าน เพียงแท่งเดียวก็ไม่มี”

อาลัมพายน์พราหมณ์ผู้นั้นย่อมรู้ว่า แก้วมณีนี้ให้สิ่งสารพัดนึก จึงอาบน้ำดำศีรษะ แล้วเอาน้ำประพรมแก้วมณี และกล่าวว่า “ท่านจงให้แท่งทอง 100 แท่งแก่เรา เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจักให้แก้วมณีที่ปรากฏว่า เป็นของเราแก่ท่าน” เพราะเหตุนั้นพราหมณ์ผู้กล้าหาญจึงกล่าวอย่างนี้ (คือให้ทองมาก่อน ถึงจะมอบแก้ว)

พราหมณ์เนสารทรู้ว่าตนไม่มีทอง 100 แท่ง จึงเบี่ยงประเด็นไปเป็นความอื่น จึงกล่าวว่า

“ถ้าท่านไม่แลกเปลี่ยนแก้วมณีด้วยโคหรือรัตนะ เมื่อเป็นเช่นนั้นท่านจะแลกเปลี่ยนแก้วมณีด้วยอะไร เราถามแล้ว ขอท่านจงบอกความข้อนั้นแก่เรา” อาลัมพายน์กล่าวว่า “ผู้ใดบอกนาคใหญ่ผู้มีเดช ยากที่บุคคลจะล่วงเกินได้ เราจะให้แก้วมณีอันเกิดแต่หิน อันรุ่งเรืองด้วยรัศมีนี้”

พราหมณ์เนสาทกล่าวว่า “ท่านมีกำลังอะไร มีศิลปอะไร ท่านเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งผลอันพิเศษในอะไร จึงไม่ยำเกรงนาค” อาลัมพายน์นั้น เมื่อต้องการแสดงกำลังของตนจึงกล่าวว่า “ครุฑมาบอกวิชาหมองูอย่างสูงแก่ฤาษีโกสิยโคตร ผู้อยู่ในป่าประพฤติตบะอยู่สิ้นกาลนาน เราเข้าไปหาฤาษีตนนี้ง ซึ่งนับเข้าในพวกฤาษีผู้บำเพ็ญตน อาศัยอยู่ในระหว่างภูเขา ได้บำรุงท่านโดยเคารพ มิได้เกียจคร้าน ทั้งกลางคืนกลางวัน ในกาลนั้น ท่านบำเพ็ญวัตรและพรหมจรรย์ เป็นผู้มีโชค เมื่อได้สมาคมกับเรา จึงสอนมนต์ทิพย์ให้แก่เราด้วยความรัก” “เราทรงไว้ซึ่งผลอันวิเศษในมนต์นั้น จึงไม่กลัวต่อนาค เราเป็นอาจารย์ของพวกหมอผู้ฆ่าอสรพิษ ชนทั้งหลายรู้จักเราว่า อาลัมพายน์” (ถึงบทนี้แสดงชัดว่าพราหมณ์อุปโลกน์ตนด้วยชื่อมนต์อาลัมพายน์)

พราหมณ์เนสาทได้ฟังดังนั้นแล้วจึงคิดว่า “อาลัมพายน์นี้ให้แก้วมณีแก่บุคคล ผู้แสดงที่อยู่ของพระภูริทัตแก่เขา ครั้นแสดงพระภูริทัตแก่เขาแล้ว จึงจักรับเอาแก้วมณี” จึงหารือเจรจาปรึกษาบุตรของตนว่า “ดูก่อนลูกโสมทัต เราควรรับแก้วมณีไว้สิ เจ้าจงรู้ไว้ เราอย่าละสิริ อันมาถึงตนด้วยท่อนไม้ตามชอบใจสิ”

โสมทัตกล่าวว่า “ข้าแต่พ่อผู้เป็นพราหมณ์ ภูริทัตนาคราชบูชาคุณพ่อผู้ไปถึงที่อยู่ของตน เพราะเหตุไร คุณพ่อจะปรารถนาประทุษร้าย ต่อผู้กระทำดี เพราะความหลงอย่างนี้ ถ้าคุณพ่อปรารถนาทรัพย์ ภูริทัตนาคราชก็คงจักให้ คุณพ่อไปขอท่านเถิด ภูริทัตนาคราชคงจักให้ทรัพย์เป็นอันมากแก่คุณพ่อ”

พราหมณ์เนสารทกล่าวว่า “ดูก่อนโสมทัต การกินของที่ถึงมือ ที่อยู่ในภาชนะ หรือที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า เป็นความประเสริฐ ประโยชน์ที่อยู่เบื้องหน้าเรา อย่าได้ล่วงเราไปเสียเลย” โสมทัตกล่าวว่า “คนประทุษร้ายต่อมิตร สละความเกื้อกูล จะตกหมกไหม้อยู่ในนรกอันร้ายแรง แผ่นดินย่อมสูบผู้นั้น หรือเมื่อผู้นั้นมีชีวิตอยู่ก็ซูบซีด ถ้าคุณพ่อปรารถนาทรัพย์ ภูริทัตนาคราชก็คงจักให้ ลูกเข้าใจว่า คุณพ่อจักต้องประสบเวรที่ตนทำไว้ในไม่ช้า”

พราหมณ์เนสารทกล่าวว่า “พราหมณ์ทั้งหลายบูชามหายัญแล้ว ย่อมบริสุทธิ์ได้ เราจักบูชามหายัญ ก็จักพ้นจากบาป ด้วยการบูชายัญอย่างนี้” โสมทัตกล่าวว่า “เชิญเถิด ลูกจะขอแยกไป ณ บัดนี้ วันนี้ลูกจะไม่ขออยู่ร่วมกับคุณพ่อ จะไม่ขอเดินทางร่วมกับคุณพ่อ ผู้ทำกรรมหยาบอย่างนี้สักก้าวเดียว”

ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว เมื่อไม่อาจให้บิดาเชื่อฟังคำของตน จึงโพนทะนาให้เทวดาทราบ ด้วยเสียงอันดังว่า “ข้าพเจ้าจะไม่ไปกับคนทำบาปเห็นปานนี้ละ” ครั้นประกาศแล้ว ก็หนีไปทิ้งบิดาให้อยู่ในที่แห่งนั้น

(ถึงตอนนี้ โสมทัตได้เข้าไปสู่ป่าหิมพานต์ บวชเป็นฤาษียังอภิญญาและสมาบัติให้เกิดแล้ว มิให้เสื่อมฌานแล้วเกิดไปเกิดในพรหมโลก) (จบโสมทัตกัณฑ์)

พราหมณ์เนสาทก็คิดไปว่า โสมทัตจักไปไหนได้ นอกจากเรือนของตน ครั้นเห็นอาลัมพายน์ไม่พอใจกับเรื่องนี้ จึงปลอบว่า “ดูก่อนอาลัมพายน์ ท่านอย่าวิตกไปเลย เราจักชี้ภูริทัตให้ท่าน” ดังนี้แล้ว ก็พาอาลัมพายน์ไปยังที่รักษาอุโบสถแห่งพญานาค เห็นพญานาคภูริทัตคู้ขดขนดกายอยู่ที่จอมปลวก จึงยืนอยู่ในที่ไม่ไกล เหยียดมือออกแล้วกล่าวความว่า “ดูก่อนพราหมณ์ ท่านจงจับเอานาคใหญ่นั้น จงส่งแก้วนั้นมาให้เรา นาคใหญ่นั่นมีรัศมีดังสีแมลงค่อมทอง ศีรษะแดง ตัวปรากฏดังกองปุยนุ่น นอนอยู่บนจอมปลวก ท่านจงจับมันเถิดพราหมณ์”

พระมหาสัตว์ ลืมพระเนตรขึ้น แลเห็นพราหมณ์เนสาท ก็รู้ด้วยฌาณโดยทันที พึงคิดในใจว่า “เราคิดไว้แล้วว่าพราหมณ์คนนี้จะทำอันตรายแก่อุโบสถของเรา เราจึงพาผู้นี้ไปยังนาคพิภพ แต่งให้มีสมบัติเป็นอันมาก ไม่ปรารถนาเพื่อจะรับแก้วที่เราให้ แต่บัดนี้ไปรับเอาหมองูมา ถ้าเราโกรธแก่ผู้ประทุษร้ายมิตร ศีลของเราก็จักขาด ก็เราได้อธิษฐานอุโบสถ อันประกอบด้วยองค์ 4 ไว้ก่อนแล้ว ต้องให้คงที่อยู่ อาลัมพายน์จะตัด จะเผา จะฆ่า จะแทงด้วยหลาวก็ตามเถิด เราจะไม่โกรธเขาเลย ถ้าเราจะแลดูเขาด้วยความโกรธ เขาก็จะแหลกเป็นเหมือนขี้เถ้า ช่างเถอะทุบตีเราเถอะ เราจักไม่โกรธเลย”

ดังนี้แล้วก็หลับเนตรลง ทรงบำเพ็ญอธิษฐานบารมีไว้เป็นเบื้องหน้า ซุกเศียรเข้าไว้ ณ ภายในขนดนอนนิ่ง มิได้ไหวติงเลย (จบศีลกัณฑ์)

ฝ่ายพราหมณ์เนสาทกล่าวว่า “ดูก่อนอาลัมพายน์ผู้เจริญ เชิญท่านจับนาคนี้ และจงให้แก้วมณีแก่เราเถิด” อาลัมพายน์เห็นนาคแล้วก็ปลื้มปิติ มิได้สนใจว่าแก้วจะมีค่าอะไร เปรียบเสมือนเป็นผักหญ้า โยนแก้วมณีไปที่มือพราหมณ์เนสาท พร้อมกล่าวว่า “เอาไปเถิดพราหมณ์” แก้วมณีก็พลาดจากมือพราหมณ์เนสาท ตกลงที่แผ่นดิน พอตกลงแล้วก็จมแผ่นดินลงไปยังนาคพิภพนั่นเอง

ด้วยเหตุนี้ พราหมณ์เนสาทเป็นเหตุแห่งความเสื่อมจากฐานะสามประการ คือ (1) เสื่อมจากแก้วมณี (2) เสื่อมจากมิตรภาพกับพระภูริทัต และ (3) เสื่อมจากบุตรของตน เขาก็ร้องไห้รำพันว่า “เราหมดที่พึ่งพาอาศัยแล้ว เพราะเราไม่ทำตามคำของบุตร แล้วแล่นกลับไปสู่เรือนตน”

ฝ่ายอาลัมพายน์ ก็ทาร่างของตนด้วยทิพยโอสถตามสูตรที่ได้เรียนมา เคี้ยวกินเล็กน้อย กับประพรมกายของตน แล้วก็ร่ายมนต์วิเศษ เข้าไปหาพระโพธิสัตว์ จับหางพระโพธิสัตว์ คร่ามาจับศีรษะไว้มั่น แล้วเปิดปากพระมหาสัตว์ เคี้ยวยาบ้วนใส่พร้อมเสมหะ เข้าในปากพระมหาสัตว์ พญานาคผู้เป็นชาติสะอาด ไม่โกรธไม่ลืมตา เพราะกลัวแต่ศีลจะขาดทำลาย ลำดับนั้น อาลัมพายน์ก็ใช้ยาและมนต์ จับหางพระมหาสัตว์หิ้วให้ศีรษะห้อยลงเบื้องต่ำ เขย่าให้สำรอกอาหารที่มีอยู่ แล้วให้นอนเหยียดยาวที่พื้นดิน เหยียบย่ำด้วยเท้า เหมือนคนนวดถั่ว กระดูกเหมือนจะแหลกเป็นจุณออกไป พลันจับหางพระมหาสัตว์หิ้วให้ศีรษะห้อยลงข้างล่างอีก ฟาดลงเหมือนฟาดผ้า พระมหาสัตว์แม้เสวยทุกขเวทนาถึงปานนี้ ก็ไม่โกรธเลยแม้แต่น้อย

อาลัมพายน์ ครั้นทำพระมหาสัตว์ให้ถอยกำลังดังนั้นแล้ว จึงเอาเถาวัลย์ถักกระโปรง แล้วเอาพระมหาสัตว์ใส่ในกระโปรงนั้น แต่สรีระของพระมหาสัตว์ใหญ่โต เข้าไปในกระโปรงนั้นไม่ได้ อาลัมพายน์จึงใช้ส้นเท้าถีบพระมหาสัตว์ให้เข้าไป แล้วแบกกระโปรงไปถึงบ้านแห่งหนึ่ง จึงวางกระโปรงลง วางไว้กลางบ้านแล้วร้องบอกชาวบ้านว่า “ผู้ประสงค์จะดูการฟ้อนรำของนาคก็จงมา” ชาวบ้านต่างมาประชุมกัน เมื่อนั้น อาลัมพายน์จึงกล่าวว่า “มหานาค เจ้าจงออกมา” พระมหาสัตว์คิดว่า “วันนี้เราจะเล่นให้บริษัทร่าเริง จึงจะควรอาลัมพายน์เมื่อได้ทรัพย์มากอย่างนี้ยินดีแล้ว จักปล่อยเราไป อาลัมพายน์จะให้เราทำอย่างใด เราก็จะทำอย่างนั้น” ลำดับนั้น อาลัมพายน์ก็นำพระมหาสัตว์ออกจากกระโปรง แล้วกล่าวว่า เจ้าจงทำตัวให้ใหญ่ พระมหาสัตว์ทำตัวให้ใหญ่ อาลัมพายน์บอกให้ทำตัวให้เล็กและให้ขด ให้คลาย ให้แผ่พังพาน 1 พังพาน 2, 3, 4, 5 - 100 ให้สูง ให้ต่ำ ให้เห็นตัว ให้หายตัว ให้เห็นครึ่งตัว ให้สีเขียว เหลือง แดง ขาว หงสบาท (หงสบาท คือ สีแดงเรื่อ หรือสีแสด)ให้พ่นเปลวไฟ พ่นน้ำ พ่นควัน ในอาการเหล่านี้ ไม่ว่าอาลัมพายน์จะบอกให้ทำอาการใด พระมหาสัตว์ก็นิรมิตอัตภาพแสดงอาการนั้นทุกประการ

ผู้คนที่ได้เห็นพระมหาสัตว์นั้นแล้ว ก็ไม่สามารถจะกลั้นน้ำตาไว้ได้ มนุษย์เป็นอันมากต่างพากันให้สิ่งของต่างๆ มีเงิน ทอง ผ้า และเครื่องประดับ เป็นต้น หวังให้พระมหาสัตว์นั้นพ้นจากอาลัมพายน์พราหมณ์ เมื่อได้ทรัพย์ในบ้านนั้นประมาณเป็นพัน ด้วยอาการอย่างนี้ อาลัมพายน์จึงกล่าวกับพระมหาสัตว์ว่า

จะปล่อยพระมหาสัตว์ แต่ถึงกระนั้น ครั้นได้พันหนึ่งแล้ว ก็คิดโลภโมโทนสันว่า แม้ในบ้านเล็กบ้านน้อย เรายังได้ทรัพย์ถึงเพียงนี้ ถ้าในพระนครคงจักได้ทรัพย์มากมาย เพราะความโลภมากในทรัพย์จึงมิได้ปล่อยพระมหาสัตว์อย่างที่พูด

อาลัมพายน์นั้น เมื่อเป็นผู้มีทรัพย์ จึงสั่งให้นายช่างทำกระโปรงแก้ว ใส่พระมหาสัตว์ลงในกระโปรงแก้วนั้น แล้วก็ขึ้นสู่ยานน้อยอย่างสบาย (รถม้าพาหนะ) ออกไปด้วยบริวารเป็นอันมาก ให้พระมหาสัตว์เล่นไปในหมู่บ้านและนิคม เป็นต้น จนถึงกรุงพาราณสีโดยลำดับ แต่อาลัมพายน์ ไม่ให้น้ำผึ้งและข้าวตอกแก่พญานาค กลับฆ่ากบให้กิน พระมหาสัตว์ก็มิได้รับอาหาร เพราะกลัวอาลัมพายน์จะไม่ปล่อย อาลัมพายน์จึงให้พระมหาสัตว์เล่นแสดงในหมู่บ้านนั้น ตั้งต้นแต่หมู่บ้านใกล้ประตูเมืองทั้ง 4 ด้าน

ครั้นถึงวันอุโบสถสิบห้าค่ำ อาลัมพายน์จึงขอให้กราบทูลแด่ พระราชาว่า ข้าพระองค์จะให้นาคราชเล่นถวายพระองค์ พระราชาจึงรับสั่งให้ตีกลองร้องประกาศให้มหาชนมาประชุมกัน ชนเหล่านั้นจึงพากันมาประชุมบนกันที่พระลานหลวง (จบอาลัมพายนกัณฑ์)

ย้อนความในวันที่อาลัมพายน์จับพระมหาสัตว์ไปนั้น พระมารดาสมุททชา (พระมารดาของพระภูริทัตนาคราช) ได้เห็นในระหว่างทรงพระสุบินว่า พระนางถูกชายคนหนึ่งตัวดำ ตาแดง เอาดาบตัดแขนขวาของพระนางขาด แล้วนำไปทั้งที่มีเลือดไหลอยู่ ครั้นพระนางตื่นขึ้น ก็สะดุ้งกลัวลุกขึ้นคลำแขนขวา ทรงทราบว่าเป็นความฝัน พระนางทรงดำริว่า “เราฝันเห็นร้ายแรงมาก บุตรของเราทั้ง 4 คน หรือท้าวธตรฐ ทั้งตัวเราเองคงจะเป็นอันตราย” อีกอย่างหนึ่ง พระนางทรงปรารภคิดถึงพระมหาสัตว์ยิ่งกว่าผู้อื่น เพราะเหตุว่าบุตรแห่งนาคนอกนั้นอยู่ในนาคพิภพของตน

ฝ่ายพระมหาสัตว์ผู้มีศีลเป็นอัธยาศัย ขึ้นไปยังมนุษยโลกเพื่อการกระทำอุโบสถกรรม เพราะเหตุนี้ พระนางจึงทรงคิดถึงพระภูริทัตยิ่งกว่าใคร “เกรงว่า หมองู หรือสุบรรณ จะพึงจับเอาบุตรของเราไปเสียกระมังหนอ”

จากนั้นพอล่วงไปได้กึ่งเดือน พระนางทรงถึงโทมนัสว่า “บุตรของเราไม่สามารถจะพลัดพรากจากเราเกินกึ่งเดือนเลย ภัยอย่างใดอย่างหนึ่ง จักเกิดขึ้นแก่บุตรของเราเป็นแน่” ครั้นล่วงไปได้เดือนหนึ่ง พระนางสมุททชาก็ทรงโศกเศร้า หาเวลาขาดน้ำตามิได้ ดวงหฤทัยก็เหือดแห้ง พระเนตรทั้งสองก็บวมเบ่งขึ้นมา พระนางสมุททชาทรงนั่งมองหาทางที่พระมหาสัตว์จะกลับมาถึงเพียงเท่านั้น ด้วยทรงรำพึงว่า “ภูริทัตจักมา ณ บัดนี้ ภูริทัตจักมา ณ บัดนี้”

ครั้นล่วงไปได้เดือนหนึ่งแล้ว สุทัสสนะโอรสองค์ใหญ่ของพระนางสมุททชา พร้อมด้วยบริษัทเป็นอันมาก มาเยี่ยมพระชนกชนนี พักบริษัทไว้ภายนอกแล้วขึ้นสู่ปราสาท ไหว้พระชนนี แล้วได้ยืนอยู่อันที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระนางสมุททชานั้น กำลังทรงโศกเศร้าถึงพระภูริทัตอยู่ มิได้เจรจาปราศรัยกับด้วยสุทัสสนะ สุทัสสนะนั้น จึงคิดว่า พระมารดาของเรา เมื่อเรามาครั้งก่อนๆ เห็นเราแล้วย่อมยินดีต้อนรับ แต่วันนี้พระมารดาทรงโทมนัสน้อยพระทัย คงมีเหตุอะไรเป็นแน่

เมื่อนั้น จึงทูลถามพระมารดาว่า “เพราะได้เห็นข้าพระองค์ ผู้ให้สำเร็จสิ่งที่น่าใคร่ทั้งปวงมาเฝ้า อินทรีย์ของพระแม่เจ้าไม่ผ่องใส พระพักตร์พระแม่เจ้าก็เกรียมดำ เพราะทอดพระเนตรเห็น ข้าพระองค์เช่นนี้ พระพักตร์พระแม่เจ้าเกรียมดำ เหมือนดอกบัวอยู่ในมือถูกฝ่ามือขยี้ฉะนั้น”

แม้เมื่อสุทัสสนะกล่าวอย่างนี้แล้ว พระนางสมุททชามิได้ตรัสปราศรัยเลย สุทัสสนะจึงคิดว่า ใครทำให้พระมารดาโกรธหนอ หรือว่าพึงมีอันตรายประการใด

ลำดับนั้น จึงทูลถามพระมารดาอีกว่า “ใครว่ากล่าวล่วงเกินพระแม่เจ้า หรือพระแม่เจ้ามีเวทนาอะไรบ้าง เพราะทอดพระเนตรเห็น ข้าพระองค์ผู้มาเฝ้า พระพักตร์ของพระแม่เจ้าเกรียมดำ เพราะเหตุไร? พระแม่เจ้าจงบอกเหตุนั้นแก่ข้าพระองค์”

พระนางสมุททชา จึงตรัสบอกแก่สุทัสสนะว่า “พ่อสุทัสสนะเอ๋ย แม่ได้ฝันเห็นล่วงมาเดือนหนึ่งแล้วว่า มีชายคนหนึ่งมาตัดแขนของแม่ ดูเหมือนเป็นข้างขวา พาเอาไปทั้งที่เปื้อนด้วยเลือด เมื่อแม่กำลังร้องไห้อยู่ นับตั้งแต่แม่ได้ฝันเห็นแล้ว เจ้าจงรู้เถิดว่า แม่ไม่ได้รับความสุขทุกวันทุกคืนเลย”

แล้วตรัสต่อว่า “ดูก่อนลูกรัก น้องของเจ้าหายไปโดยมิได้เห็น ชะรอยว่าภัยคงจะเกิดมีแก่น้องของเจ้า” ดังนี้พลางทรงรำพันกล่าวต่อไปว่า “เมื่อก่อนนางกัญญาทั้งหลาย ผู้มีร่างกายอันสวยสดงดงาม ปกคลุมด้วยตาข่ายทอง พากันบำรุงบำเรอภูริทัตใด บัดนี้ภูริทัตนั้น ย่อมไม่ปรากฏให้เห็น เมื่อก่อนเสนาทั้งหลายผู้ถือดาบอันคมกล้า งามดังดอกกรรณิการ์ พากันห้อมล้อมภูริทัตใด บัดนี้ภูริทัตนั้น ย่อมไม่ปรากฏให้เห็น เอาเถอะ เราจักไปยังนิเวศน์แห่งภูริทัตบัดเดี๋ยวนี้ จักไปเยี่ยมน้องของเจ้า ผู้ตั้งอยู่ในธรรม สมบูรณ์ด้วยศีล”

เมื่อพระนางสมุททชา ตรัสอย่างนี้แล้ว จึงเสด็จไปยังนิเวศน์แห่งพระภูริทัต พร้อมด้วยบริวารทั้งหลาย เหล่าภรรยาของพระมหาสัตว์ เมื่อไม่เห็นพระภูริทัตที่จอมปลวกแล้วก็คิดไปว่า คงจักอยู่ในนิเวศน์ของพระมารดา จึงมิได้พากันขวนขวายหา แต่เมื่อภรรยาเหล่านั้นทราบข่าวว่า แม่ผัวมาไม่เห็นบุตรของตน จึงปฏิสันถารแล้วทูลว่า “ข้าแต่พระแม่เจ้า หม่อมฉันทั้งหลายไม่ทราบเกล้าล่วงมาเดือนหนึ่งแล้วว่า พระภูริทัตผู้เรืองยศ โอรสของพระแม่เจ้า สิ้นชีพแล้วหรือว่ายังดำรงชนม์อยู่”

พระมารดาของพระภูริทัตเสด็จพร้อมด้วยหญิงสะใภ้ พากันคร่ำครวญในระหว่างทางเดินขึ้นสู่ปราสาทแห่งพระภูริทัต ตรวจดูที่นอนและที่นั่งของบุตรแล้วคร่ำครวญว่า “เราไม่เห็นภูริทัต จักตรอมตรมด้วยทุกข์สิ้นกาลนาน เหมือนนกพลัดพรากจากลูกเห็นแต่รังเปล่า เราไม่เห็นภูริทัต จักตรอมตรมด้วยทุกข์สิ้นกาลนาน เหมือนนางหงส์ขาว พลัดพรากจากลูกอ่อน เราไม่เห็นภูริทัต จักตรอมตรมด้วยทุกข์สิ้นกาลนาน เหมือนนางนกจากพราก ในเปือกตมอันไม่มีน้ำเป็นแน่ เราไม่เห็นภูริทัต จักตรอมตรมด้วยความโศกเศร้า เปรียบเหมือนเบ้าของช่างทอง เกรียมไหม้ในภายใน ไม่ออกไปภายนอกฉะนั้น” ทั้งบุตรและชายาในนิเวศน์ของภูริทัต ล้มนอนระเนระนาด เหมือนต้นรังอันลมฟาดหักลงฉะนั้น

ในกาลนั้นพญาสุโภค และพญากาณาริฏฐะ (โอรสองค์ที่ 3 และองค์ที่ 4) ได้ฟังเสียงอันกึกก้องของบุตรธิดา และพระชายาในนิเวศน์ของพระภูริทัตเหล่านั้น จึงวิ่งไปทอดพระเนตร และช่วยกันปลอบพระมารดา โดยพญาสุทัสสนะตรัสว่า

“ข้าแต่พระแม่เจ้า จงเบาพระทัยอย่าเศร้าโศกไปเลย เพราะว่าสัตว์ทั้งหลาย ย่อมมีความตายและความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาอยู่อย่างนี้ การตายและการเกิดขึ้นนี้เป็นความแปรของสัตว์โลก” พระนางสมุททชาตรัสว่า “ดูก่อนพ่อสุทัสสนะ ถึงแม้เรารู้ว่า สัตว์ทั้งหลายมีอย่างนี้เป็นธรรมดา ก็แต่ว่าแม่เป็นผู้อันความเศร้าโศก ครอบงำแล้ว ถ้าเมื่อแม่ไม่ได้เห็นภูริทัตในคืนวันนี้ เจ้าจงรู้ว่า แม่ไม่ได้เห็นภูริทัต เห็นจะต้องละชีวิตเป็นแน่” บุตรทั้งหลายกล่าวว่า “ข้าแต่พระแม่เจ้า จงเบาพระทัย อย่าเศร้าโศกไปเลย ลูกทั้ง 3 จักเที่ยวแสวงหาภูริทัตไปตามทิศน้อยทิศใหญ่ ที่ภูเขา ซอกเขา บ้านและนิคม แล้วจักนำท่านพี่ภูริทัตมา พระแม่เจ้าจักได้ทรงเห็น ท่านพี่ภูริทัตมาภายใน 7 วัน”

กาลนั้น พญาสุทัสสนะจึงคิดว่า ถ้าเราทั้ง 3 ไปรวมกัน ก็จักชักช้า ควรแยกไป 3 แห่ง คือ ผู้หนึ่งไปเทวโลก ผู้หนึ่งไปหิมพานต์ ผู้หนึ่งไปมนุษย์โลก แต่ถ้าให้กาณาริฎฐะไปมนุษย์โลก แล้วได้พบพระภูริทัตในบ้านและนิคมใด ก็จักเผาบ้านและนิคมนั้นเสียหมด เพราะกาณาริฎฐะ หยาบช้ากล้าแข็งมาก ไม่ควรให้ไปมนุษย์โลก ดังนี้จึงส่งกาณาริฏฐะไปเทวโลก กล่าวว่า “ดูก่อนพ่ออริฏฐะ เจ้าจงไปยังเทวโลก ถ้าว่าเทวดาต้องการฟังธรรม นำภูริทัตไปไว้ในเทวโลกไซร้ เจ้าจงพาเขากลับมา” และส่งสุโภคะให้ไปป่าหิมพานต์กล่าวว่า “พ่อสุโภคะ เจ้าจงไปยังหิมพานต์ เที่ยวค้นหาภูริทัตในมหานทีทั้ง 5 พบภูริทัตแล้วจงพามา” ส่วนพญาสุทัสสนะเอง จะไปมนุษย์โลก แต่มาคิดว่า ถ้าเราจะไปโดยเพศชายหนุ่ม พวกมนุษย์ไม่ค่อยรักใคร่ ควรจะไปด้วยเพศดาบส เพราะพวกบรรพชิตเป็นที่รักใคร่ของพวกมนุษย์ พญาสุทัสสนะ จึงแปลงเพศเป็นดาบส กราบลาพระมารดาแล้วเร่งไป

ก็ภูริทัตโพธิสัตว์นั้น มีนางนาคน้องสาวต่างมารดาอยู่ตนหนึ่ง นามว่า “อัจจิมุขี” นางอัจจิมุขีนั้น รักพระโพธิสัตว์เหลือเกิน นางเห็นพญาสุทัสสนะจะไปจึงร้องขอว่า “ข้าแต่พี่ น้องลำบากใจเหลือเกิน น้องขอไปกับพี่ด้วย” สุทัสสนะกล่าวว่า “ดูก่อนน้องไม่สามารถไปกับพี่ได้ พี่จะไปด้วยเพศบรรพชิต” อัจจิมุขีกล่าวว่า “ข้าแต่พี่น้องจะกลายเป็นลูกเขียดน้อย นอนไปในชฎาของพี่” สุทัสสนะกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นจงมาไปกันเถิด” นางอัจจิมุขีจึงแปลงเป็นลูกเขียดน้อย นอนไปในชฎาของพี่สุทัสสนะ พญาสุทัสสนะจึงคิดว่า เราจักตรวจสอบไปตั้งแต่ต้น ดังนี้แล้วจึงถามถึงที่ ที่พระภูริทัตไปรักษาอุโบสถกับภรรยาพระภูริทัตเสียก่อน แล้วจึงไปในที่แห่งการบำเพ็ญอุโบสถกรรมนั้น

เมื่อไปถึงแลเห็นพระโลหิต และชะรอยการถักกระโปรงที่ทำด้วยเถาวัลย์ ในที่นี้ จึงรู้ชัดว่า หมองูจับภูริทัตไป ก็เกิดความโศกเศร้าขึ้นทันที มีเนตรนองไปด้วยน้ำตา จึงตามรอยหมองู ไปจนถึงบ้านที่หมออาลัมพายน์ให้พระมหาสัตว์ทำการแสดงนาคครั้งแรก

จึงถามพวกมนุษย์ว่า “หมองู เอานาคราช เห็นปานนี้มาเล่นในบ้านนี้บ้าง หรือไม่” มนุษย์ตอบว่า “อาลัมพายน์เอานาคราช เห็นปานนี้มาเล่น แต่นั้นถึงวันนี้ ประมาณหนึ่งเดือนแล้ว” สุทัสสนะถามว่า “หมองูนั้นได้อะไรบ้างไหม” มนุษย์ตอบว่า “ที่บ้านนี้หมองูได้ทรัพย์ ประมาณพันหนึ่งขอรับ” สุทัสสนะถามว่า “บัดนี้หมองูไปไหน” มนุษย์ตอบว่า “หมองูไปบ้านชื่อโน้น” สุทัสสนะถามเรื่อยไปตั้งแต่บ้านนั้น จนถึงประตูพระราชฐานกรุงพาราณสี (จบวิลาปกัณฑ์) (วิลาป : คร่ำครวญรำพัน)

ขณะนั้นอาลัมพายน์ อาบน้ำสระศีรษะ ลูบไล้ของหอม นุ่งห่มผ้าเนื้อเกลี้ยงแล้ว ให้คนยกกระโปรงแก้วไปยังประตูพระราชฐาน มหาชนออกจากเหย้าเรือนมาประชุมกันแล้ว พระราชอาสน์ก็จัดไว้พร้อมเสร็จ พระราชานั้นเสด็จอยู่ข้างในนิเวศน์ ทรงส่งสาสน์ไปว่า “เราจะไปดู ขออาลัมพายน์จงให้นาคราชเล่นไปเถิด”

พราหมณ์อาลัมพายน์จึงวางกระโปรงแก้ว ลงบนเครื่องลาดอันวิจิตร เปิดกระโปรงออกแล้วให้สัญญาณว่า “ขอมหานาคออกมาเถิด”

ในเวลานั้นพระสุทัสสนะฤาษี ก็ไปยืนอยู่ท้ายบริษัททั้งปวง พระมหาสัตว์โผล่ศีรษะแลดูบริษัททั่วไป นาคทั้งหลายที่ถูกจับมาแสดง แลดูบริษัทด้วยอาการ 2 อย่างคือ เพื่อจะดูอันตรายจากสุบรรณอย่างหนึ่ง เพื่อจะพวกญาติอย่างหนึ่ง นาคเหล่านั้น ครั้นเห็นสุบรรณก็กลัวไม่ฟ้อนรำ ครั้นเห็นพวกญาติก็ละอายไม่ฟ้อนรำ ส่วนพระมหาสัตว์ เมื่อแลไปเห็นพี่ชาย ท่านก็เลื้อยออกจากกระโปรงตรงไปหาพี่ชายทั้งที่น้ำตานองหน้า มหาชนเห็นพระภูริทัตเลื้อย ก็พากันตกใจหลีกออกไป ยังยืนอยู่แต่พระสุทัสสนะฤาษีเพียงผู้เดียว

พระภูริทัตไปซบศีรษะร้องไห้ อยู่ที่หลังเท้าของสุทัสสนะฤาษี ฝ่ายสุทัสสนะก็ร้องไห้ พลันพระมหาสัตว์ก็กลับมาไปในกระโปรงดังเดิม อาลัมพายน์เข้าใจว่า ดาบสถูกนาคนี้กัดเอา คิดจะปลอบโยนท่าน จึงเข้าไปหาสุทัสสนะฤาษีแล้วกล่าวว่า

“นาคหลุดพ้นจากมือ ไปฟุบลงที่เท้าของท่านคุณพ่อ มันกัดเอากระมังหนอ คุณพ่ออย่ากลัวเลย จงถึงความสุขเถิด”และกล่าวต่อว่า “ดูก่อนพ่อดาบส เราชื่อว่า อาลัมพายน์ ท่านอย่ากลัวเลย ชื่อว่าการปฏิบัติรักษานั้น เป็นหน้าที่ของข้าพเจ้า” สุทัสสนะฤาษี จึงกล่าวกับอาลัมพายน์ว่า “นาคตัวนี้ ไม่สามารถจะยังความทุกข์อะไรให้เกิดแก่เราเลย หมองูมีอยู่เท่าใดก็ไม่ดียิ่งกว่าเรา”

เมื่ออาลัมพายน์ไม่รู้จักว่าผู้นี้คือใคร ก็โกรธแล้วกล่าวว่า “คนเซอะอะไรหนอ แปลงเพศเป็นพราหมณ์มาท้าเราในที่ประชุมชน ขอบริษัทจงฟังเรา โทษของเราไม่มี ท่านอย่ามาโกรธเราเลย” ลำดับนั้น สุทัสสนะฤาษี ได้กล่าวกะหมองูว่า “ดูก่อนหมองู ท่านจงต่อสู้กับเราด้วยนาค เราจะต่อสู้กับท่านด้วยเขียด ในการรบของเรานั้น เราทั้งสองจงมาพนันกันด้วยเดิมพัน 5,000 กหาปณะ” (กหาปณะคือมาตราเงินโบราณ 1 กหาปณะ เท่ากับ 20 มาสก หรือ 1 ตำลึง หรือ 4 บาท)

อาลัมพายน์กล่าวว่า “ดูก่อนมาณพ เราเท่านั้นเป็นคนมั่งคั่งด้วยทรัพย์ ท่านเป็นคนจน ใครจะเป็นคนรับประกันท่าน และอะไรเป็นเดิมพันของท่าน เดิมพันของเรามี และคนรับประกันเช่นนั้นก็มี ในการรบของเราทั้งสอง เราทั้งสองมาพนันกันด้วยเดิมพัน 5,000 กหาปณะ” อาลัมพายน์กล่าวว่า “อีกอย่างหนึ่ง ทรัพย์อะไรชื่อว่า พึงเป็นของท่านที่ตั้งไว้ในการพนันนี้มีอยู่หรือ ท่านจงแสดงแก่เรา”

สุทัสสนะฤาษี ครั้นได้ฟังคำของอาลัมพายน์นั้นแล้ว ไม่กล้ายืนยันว่าทรัพย์ จึงกล่าวว่า “เอาเถอะพนันกันด้วยทรัพย์ 5,000 กหาปณะ” กล่าวจบก็ขึ้นสู่

พระราชนิเวศน์ ไปเฝ้าพระเจ้าพาราณสีผู้เป็นลุง แล้วกล่าวความว่า “ดูก่อนมหาบพิตรผู้ทรงเกียรติ เชิญสดับคำของอาตมภาพ ขอความเจริญจงมีแก่มหาบพิตร ขอมหาบพิตรทรงรับประกันทรัพย์ 5,000 กหาปณะของอาตมภาพเถิด” พระราชาทรงพระดำริว่า ดาบสนี้ขอทรัพย์เรามากเหลือเกิน จึงตรัสว่า “ข้าแต่ดาบส หนี้เป็นหนี้ของบิดา หรือว่าเป็นหนี้ที่ท่านทำเอง เพราะเหตุไร ท่านจึงขอทรัพย์มากมายอย่างนี้ ต่อข้าพเจ้า”

เมื่อพระราชาตรัสอย่างนี้ สุทัสสนะฤาษีจึงได้กล่าวว่า “เพราะอาลัมพายน์ ปรารถนาจะต่อสู้กับอาตมภาพด้วยนาค อาตมภาพจักให้ลูกเขียดกัด พราหมณ์อาลัมพายน์ ดูก่อนมหาบพิตรผู้ผดุงรัฐ ขอเชิญพระองค์ ผู้มีหมู่ทหารดาบเป็นกองทัพ เสด็จทอดพระเนตรนาคนั้นในวันนี้”

พระราชาตรัสว่า “ถ้าเช่นนั้น เราจักไป” จึงเสด็จไปพร้อมกับดาบสนั้นแลอาลัมพายน์เห็นพระราชาเสด็จมากับดาบส ตกใจกลัวว่า ดาบสนี้ไปเชิญพระราชาออกมา ชะรอยว่า จักเป็นบรรพชิตในพระราชาสำนัก เมื่อจะคล้อยตาม จึงกล่าวว่า “ข้าแต่ดาบส เราไม่ได้ดูหมิ่นท่าน โดยทางศิลปศาสตร์เลย ท่านมัวเมาด้วยศิลปศาสตร์มากเกินไป ไม่ยำเกรงนาค” ลำดับนั้น สุทัสสนะฤาษีจึงกล่าวว่า

“ดูก่อนพราหมณ์ แม้อาตมาก็ไม่ดูหมิ่นท่านในทางศิลปศาสตร์ แต่ว่าท่านล่อลวงประชาชนนัก ด้วยนาคอันไม่มีพิษ ถ้าชนพึงรู้ว่านาคของท่านไม่มีพิษ เหมือนอย่างอาตมารู้แล้ว ท่านก็จะไม่ได้แกลบสักกำมือหนึ่งเลย จักได้ทรัพย์แต่ที่ไหนเล่าหมองู” (พระสุทัสสนะหมิ่นพราหมณ์อาลัมพายน์ว่านาคเหล่านั้นไม่มีพิษสักตน)

ลำดับนั้น อาลัมพายน์โกรธต่อสุทัสสนะ จึงกล่าวว่า “ท่านผู้นุ่งหนังเสือพร้อมทั้งเล็บ เกล้าชฎารุ่มร่าม เหมือนคนเซอะ เข้ามาในประชุมชน ดูหมิ่นนาคเช่นนี้ว่าไม่มีพิษ ท่านเข้ามาใกล้แล้ว ก็จะพึงรู้ว่านาคนั้นเต็มไปด้วยเดช เหมือนของนาคอันสูงสุด ข้าพเจ้าเข้าใจว่า นาคตัวนี้จักทำท่านให้แหลก เป็นเหมือนเถ้าไปโดยฉับพลัน”

ลำดับนั้น สุทัสสนะฤาษี เมื่อกระทำการเย้ยหยัน จึงกล่าวว่า “พิษของงูเรือน งูปลา งูเขียว พึงมี แต่พิษของนาคมีศีรษะแดง ไม่มีเลยทีเดียว” อาลัมพายน์จึงสวนกลับว่า “ข้าพเจ้าได้ฟังคำของพระอรหันต์ทั้งหลาย ผู้สำรวม ผู้มีตบะ มาว่า ทายกทั้งหลายให้ทานในโลกนี้ย่อมไปสู่สวรรค์ ท่านมีชีวิตอยู่ จงให้ทานเสียเถิด ถ้าท่านมีสิ่งของที่จะควรให้ นาคนี้มีฤทธิ์มาก มีเดชยากที่ใครๆ จะก้าวล่วงได้ เราจะให้นาคนั้นกัดท่าน มันก็จักทำท่านให้เป็นขี้เถ้าไปลำดับนั้น”

สุทัสสนะฤาษีกล่าวต่อว่า “ดูก่อนสหาย เราแม้ก็ได้ฟังคำของพระอรหันต์ทั้งหลาย ผู้สำรวมมีตบะมาว่า ทายกทั้งหลายให้ทาน ในโลกนี้แล้ว ย่อมไปสู่สวรรค์ ท่านนั่นแหละเมื่อมีชีวิตอยู่ จงให้ทานเสีย ถ้าท่านมีสิ่งของที่ควรจะให้จงให้ ลูกเขียดชื่อว่าอัจจิมุขีนี้ เต็มด้วยเดชเหมือนของนาคอันสูงสุด เราจักให้ลูกเขียดนั้นกัดท่าน ลูกเขียดนั้นจักทำท่านให้เป็นขี้เถ้าไป นางเป็นธิดาของท้าวธตรฐ เป็นน้องสาวต่างมารดาของเรา นางอัจจิมุขีผู้เต็มไปด้วยเดช เหมือนของนาคอันสูงสุดนั้นจงกัดท่าน”

ครั้นสุทัสสนะฤาษีกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงเหยียดมือร้องเรียกน้องหญิง ในท่ามกลางมหาชนนั่นแล ด้วยคำว่า “น้องหญิงอัจจิมุขี เจ้าจงออกจากภายในชฎาของพี่ มายืนอยู่ในฝ่ามือของพี่”

นางอัจจิมุขีผู้นั่งอยู่ในชฎา ได้ยินเสียงเรียกของสุทัสสนะพี่ชาย จึงออกจากชฎา กระโดดมาอยู่บนฝ่ามือของสุทัสสนะพี่ชาย แล้วทำการหยาดพิษ 3 หยาด ให้ตกลงบนมือสุทัสสนะฤาษี แล้วเข้าไปในชฎาของสุทัสสนะอีกตามเดิม

สุทัสสนะยืนถือพิษอยู่แล้ว ประกาศเสียงดังขึ้นว่า “ชาวชนบทจักพินาศหนอ” เสียงของสุทัสสนะได้ดังกลบนครพาราณสีถึง 12 โยชน์

ลำดับนั้น พระราชาจึงตรัสถามเขาว่า “ชนบทจักพินาศเพื่ออะไร” สุทัสสนะทูลว่า “ดูก่อนมหาบพิตร อาตมาไม่เห็นที่หยดของพิษนี้” พระราชาจึงบอกว่า “เจ้าจงหยดพิษที่แผ่นดินใหญ่เถิด” สุทัสสนะฤาษีจึงว่า “ดูก่อนมหาบพิตร ถ้าอาตมภาพจักหยดพิษลงบนแผ่นดินไซร้ มหาบพิตรจงทราบเถิดว่า ต้นหญ้า ลดาวัลย์และต้นยาทั้งหลาย พึงเหี่ยวแห้งไปโดยไม่ต้องสงสัย”

พระราชาตรัสว่า “ดูก่อนพ่อ ถ้าเช่นนั้นท่านจงขว้างขึ้นไปบนอากาศ” สุทัสสนะฤาษีเมื่อจะแสดงว่า ถึงในอากาศนั้น ก็ไม่อาจขว้างหยดพิษขึ้นไปได้ จึงกล่าวว่า “ดูก่อนมหาบพิตร ถ้าอาตมภาพจักขว้างพิษขึ้นบนอากาศ มหาบพิตรจงทราบเถิดว่า ฝนและน้ำค้างจะไม่ตกลงตลอด 7 ปี” พระราชาตรัสว่า “ดูก่อนพ่อ ถ้าเช่นนั้นพ่อจงหยดพิษลงในน้ำ” สุทัสสนะฤาษีก็กล่าวอีกว่า “ดูก่อนมหาบพิตร ถ้าอาตมภาพจักหยดพิษลงในน้ำ มหาบพิตรจงทราบเถิดว่า สัตว์น้ำมีประมาณเท่าใด ทั้งปลาและเต่าจะพึงตายหมด”

ลำดับนั้น พระราชาตรัสกะท่านว่า “ดูก่อนพ่อ ข้าพเจ้าไม่รู้อะไร ท่านจงช่วยหาอุบายที่จะไม่ให้แคว้นของเราฉิบหายด้วยเถิด” สุทัสสนะทูลว่า “ดูก่อนมหาบพิตร ถ้าเช่นนั้น มหาบพิตรจงรับสั่งให้คนขุดบ่อ 3 บ่อ ต่อๆ กันไปในที่แห่งนี้” พระราชารับสั่งให้ขุดบ่อแล้ว สุทัสสนะ จึงบรรจุบ่อแรกให้เต็มด้วยยาต่างๆ บ่อที่ 2 ให้บรรจุโคมัย (ขี้วัว) และบ่อที่ 3 ให้บรรจุยาทิพย์ แล้วจึงใส่หยดพิษลงในบ่อที่ 1 ขณะนั้นนั่นเองก็เกิดควันไฟลุกขึ้น เป็นเปลวแล้วเลยลามไปจับบ่อโคมัย แล้วลุกลามต่อไปถึงบ่อยาทิพย์ ไหม้ยาทิพย์หมดแล้วจึงดับ อาลัมพายน์ยืนอยู่ใกล้บ่อนั้นพอดี ไอควันพิษฉาบเอาผิวร่างกายเพิกขึ้นไป ได้กลายเป็นขี้เรื้อนด่าง อาลัมพายน์ตกใจกลัว จึงเปล่งเสียงขึ้น 3 ครั้งว่า “ข้าพเจ้าปล่อยนาคราชละ ข้าพเจ้าปล่อยนาคราชละ ข้าพเจ้าปล่อยนาคราชละ” พระโพธิสัตว์ได้ยินดังนั้น จึงออกจากกระโปรงแก้ว นิรมิตอัตภาพอันประดับ ด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง ยืนอยู่ด้วยท่าทางเหมือนเทวราช ทั้งสุทัสสนะทั้งอัจจิมุขี ก็มายืนอยู่เหมือนพระโพธิสัตว์นั่นแล ลำดับนั้น สุทัสสนะจึงทูลถามพระเจ้าพาราณสีว่า “ข้าแต่มหาราช พระองค์ทรงรู้จักหรือ ข้าพระองค์ทั้งสามนี้เป็นลูกใคร”

ราชาตอบว่า “ดูก่อนพ่อ เราไม่รู้จัก” สุทัสสนะ “พระองค์ไม่รู้จักข้าพระองค์ทั้งสามยกไว้ก่อน แต่พระองค์ทรงทราบ เรื่องที่ยกนางสมุททชาราชธิดาพระเจ้ากาสี ซึ่งพระราชทานแก่ท้าวธตรฐหรือไม่เล่า” ราชาตอบว่า “เออ เรารู้ นางสมุททชาเป็นน้องสาวเรา” สุทัสสนะจึงกล่าวว่า “ข้าแต่มหาราช ข้าพระองค์ทั้งสามนี้เป็นลูกของนางสมุททชา พระองค์เป็นพระเจ้าลุงของข้าพระองค์ทั้งสาม”

พระราชาได้ฟังดังนั้น ก็ทรงสวมกอดจุมพิตหลานทั้ง 3 องค์ พลางทรงกรรแสงแล้วพาขึ้นปราสาท ทรงทำสักการะเป็นอันมากแล้ว ทรงกระทำปฏิสันถารก่อนถามว่า “ดูก่อนภูริทัต พ่อมีฤทธิ์เดชสูงถึงอย่างนี้ ทำไมอาลัมพายน์จึงจับได้” พระภูริทัตจึงทูลเรื่องดังกล่าวถึงคราวที่ตนถืออุโบสถศีล จึงไม่แสดงฤทธิ์ เมื่อจะถวายโอวาทพระราชา จึงแสดงราชธรรมแก่พระเจ้าลุงโดยนัยมีอาทิว่า “ขอพระราชทาน ธรรมเนียมพระราชาควรจะดำรงราชสมบัติ โดยทำนองอย่างนี้”

ต่อมา พญาสุทัสสนะจึงทูลพระราชาว่า “ข้าแต่พระเจ้าลุง มารดาของข้าพระองค์ยังไม่พบเจ้าภูริทัต ก็ยังกลัดกลุ้มอยู่ ข้าพระองค์ไม่อาจจะอยู่ช้าได้”
พระราชา “ดีละพ่อ จงพากันไปก่อนเถิด แต่ว่าลุงอยากจะพบน้องของเราบ้าง ทำอย่างไรจึงจะได้พบกัน” สุทัสสนะกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้าลุง พระเจ้ากาสิกราชผู้เป็นพระอัยกาของข้าพระองค์ เดี๋ยวนี้อยู่ที่ไหนเล่า” พระราชา “ดูก่อนพ่อ พระเจ้ากาสิกราชนั้นต้องพรากจากน้องสาวของลุง แล้วไม่สามารถจะอยู่เสวยราชสมบัติได้ ได้ละราชสมบัติทรงผนวชเสียแล้ว เสด็จไปอยู่ในไพรสณฑ์แห่งโน้น”

สุทัสสนะ “ข้าแต่พระเจ้าลุง มารดาของข้าพระองค์ประสงค์จะพบพระเจ้าลุง และพระอัยกาด้วย ถึงวันโน้น พระองค์จงเสด็จไปยังสำนักพระอัยกา ข้าพระองค์จักพามารดาไปยังอาศรมพระอัยกา พระเจ้าลุงจักได้พบมารดาของข้าพระองค์ ในที่นั้นทีเดียว” กล่าวจบทั้ง 3 พระองค์ จึงกำหนดนัดหมายวันแก่พระเจ้าลุง แล้วออกจากพระราชนิเวศน์ พระราชาเสด็จส่งราชภาคิไนย (หลานที่เกิดจากน้องสาว) ไปแล้ว ก็ทรงพระกรรแสงแล้วเสด็จกลับ หลานทั้งสามตน ก็แทรกแผ่นดินลงไปนาคพิภพ (จบนาคคเวสนกัณฑ์)

เมื่อพระมหาสัตว์ถึงนาคพิภพ เสียงร่ำไรรำพันก็เกิดขึ้นพร้อมกัน ฝ่ายพระภูริทัตเหน็ดเหนื่อย เพราะเข้าอยู่ในกระโปรงถึงหนึ่งเดือน จึงนอนเป็นไข้ มีพวกนาคมาเยี่ยมนับไม่ถ้วน พระภูริทัตนั้นยิ่งเหน็ดเหนื่อยเพราะปราศรัยกับนาคเหล่านั้น

กาณาริฏฐะ ซึ่งยังไปเทวโลก ครั้นไม่พบพระมหาสัตว์ก็กลับมาก่อน ลำดับนั้น ญาติมิตรของพระมหาสัตว์เห็นว่า กาณาริฏฐะนั่นเป็นผู้ดุร้าย หยาบคายสามารถจะห้ามนาคบริษัทได้ จึงให้กาณาริฏฐะเป็นผู้เฝ้าประตูห้องบรรทมของพระมหาสัตว์ เพื่อหวังความสงบให้พระมหาสัตว์ได้พักผ่อนพระวรกาย

ในเวลาก่อนหน้านี้ ฝ่ายพญาสุโภคะนาคราชก็เที่ยวไปทั่วหิมพานต์ จากนั้นจึงตรวจตราต่อไป ตามหามหาสมุทรและแม่น้ำนอกนั้น แล้วตรวจตรามาถึงแม่น้ำยมุนา ก็ได้พบพราหมณ์เนสาท ที่กำลังทำพิธีลอยบาปที่ท่าน้ำปยาคะ ลำดับความว่า

ฝ่ายพราหมณ์เนสาทเห็นอาลัมพายน์เป็นโรคเรื้อน จึงคิดว่า เจ้านี่ทำพระภูริทัตให้ลำบาก จึงเกิดเป็นโรคเรื้อน ส่วนเราก็เป็นคนชี้พระภูริทัต ผู้มีคุณแก่เรามากให้อาลัมพายน์ด้วยอยากได้แก้ว กรรมชั่วอันนั้นคงจักมาถึงเรา เราจักไปยังแม่น้ำยมุนาตลอดเวลาที่กรรมนั้นจะยังมาไม่ถึง แล้วจักกระทำพิธีลอยบาปที่ท่า ปยาคะ เมื่อไปถึงท่าน้ำปยาคะก็ได้กล่าวว่า “เราได้ทำกรรมประทุษร้ายมิตรในพระภูริทัต เราจักลอยบาปนั้นไปเสีย ดังนี้แล้วจึงทำพิธีลงน้ำ”

ขณะนั้น สุโภคะไปถึงที่นั้นพอดีได้ยินคำของพราหมณ์เนสารท จึงคิดได้ว่า “พราหมณ์คนนี้บาปหนานัก พี่ชายของเราให้ยศศักดิ์มันมากมายแล้ว กลับไปชี้ให้หมองู เพราะอยากได้แก้ว เราจักเอาชีวิตมันเสียเถิด” ดังนี้แล้วจึงเอาหางพันเท้าพราหมณ์เนสาททั้งสองข้าง ลากให้จมลงในน้ำ พอจวนจะขาดลมหายใจ จึงหย่อนให้หน่อยหนึ่ง พอพราหมณ์โผล่หัวขึ้นได้ ก็กลับลากให้จมลงไปอีก ทรมานให้ลำบากอย่างนี้อยู่หลายครั้ง พราหมณ์เนสาทโผล่หัวขึ้นได้ จึงกล่าวว่า

“น้ำที่โลกสมมติว่าสามารถลอยบาปได้ มีอยู่ที่ท่าปยาคะ ภูตผีอะไรฉุดเราลงสู่แม่น้ำยมุนาอันลึก” เมื่อนั้น สุโภคะได้กล่าวกับพราหมณ์เนสาทว่า “นาคราชนี้ใดเป็นใหญ่ในโลก เรืองยศ พันกรุงพาราณสีไว้โดยรอบ เราเป็นลูกของนาคราช ผู้ประเสริฐนั้น ดูก่อนพราหมณ์ นาคทั้งหลายเรียกเราว่า สุโภคะ”

ลำดับนั้น พราหมณ์เนสาทจึงคิดได้ว่า นาคนี้เป็นพี่น้องของพระภูริทัต คงจะไม่ไว้ชีวิตเราแน่ อย่ากระนั้นเลย เราจะยกยอเกียรติคุณของนาคนี้ ทั้งมารดาและบิดาของเขา ให้ใจอ่อนแล้วขอชีวิตเราไว้ ดังนี้แล้ว จึงกล่าวว่า “ถ้าท่านเป็นโอรสของนาคราชผู้ประเสริฐ ผู้เป็นพระราชาของชนชาวกาสี เป็นอธิบดีอมร พระชนกของท่านเป็นใหญ่คนโตผู้หนึ่ง และพระชนนีของท่านก็ไม่มีใครเทียบเท่าในหมู่มนุษย์ ผู้มีอานุภาพมากเช่นท่าน ย่อมไม่สมควรจะฉุด แม้คนที่เป็นเพียงทาสของพราหมณ์ให้จมน้ำเลย” (ในคำกล่าวนั้น คำว่า “กาสี” เป็นคำนามแทนแคว้นหรือเมือง มักใช้ว่า พระราชาผู้เป็นอิสระในแคว้นกาสี, พราหมณ์พรรณนาแคว้นกาสี, ให้เป็นของพระเจ้ากาสี, เพราะพระราชธิดาผู้เป็นใหญ่ในแคว้นกาสี เป็นต้น

สุโภคะจึงกล่าวกะพราหมณ์นั้นว่า “เจ้าพราหมณ์ชั่วร้าย เจ้าสำคัญว่า จะหลอกให้เราปล่อยหรือ เราไม่ไว้ชีวิตเจ้า” เมื่อพระองค์จะประกาศกรรมที่พราหมณ์นั้นกระทำจึงกล่าวว่า “เจ้าแอบต้นไม้ยิงเนื้อซึ่งมาเพื่อจะดื่มน้ำ เนื้อถูกยิงแล้วรู้สึกได้ด้วยกำลังลูกศร จึงวิ่งหนีไปไกล เจ้าไปพบมันล้มอยู่ในป่าใหญ่ จึงแล่เนื้อหามมาถึงต้นไทร ในเวลาเย็น อันกึกก้องไปด้วยเสียงร้องของนกดุเหว่า และนกสาลิกามีใบเหลือง เกลื่อนกล่นไปด้วยย่านไทร มีฝูงนกดุเหว่าร้องอยู่ระงม น่ารื่นรมย์ใจ ภูมิภาคเขียวไป ด้วยหญ้าแพรกอยู่เป็นนิตย์ พี่ชายของเราเป็นผู้รุ่งเรืองไปด้วยฤทธิ์และยศ มีอานุภาพมาก อันนางนาคกัญญาทั้งหลายแวดล้อม ปรากฏแก่เจ้าผู้อยู่ที่ต้นไทรนั้น ท่านพาเจ้าไปเลี้ยงดู บำรุงบำเรอ ด้วยสิ่งที่น่าใคร่ทุกอย่าง เป็นคนประทุษร้ายต่อท่านผู้ไม่ประทุษร้าย เวรนั้นมาถึงเจ้าในที่นี้แล้ว เจ้าจงเหยียดคอออกเร็วๆ เถิด เราจักไม่ไว้ชีวิตเจ้า เราระลึกถึงเวรที่เจ้าทำต่อพี่ชายเรา จึงจักตัดศีรษะเจ้าเสีย”

เมื่อนั้น พราหมณ์เนสาทจึงคิดได้ว่า นาคนี้เห็นจะไม่ไว้ชีวิตเราแน่ แต่ถึงกระนั้น เราก็ควรจะพยายามกล่าวอะไรสักอย่าง เพื่อให้พ้นความตายให้จงได้ จึงเอ่ยว่า “พราหมณ์ผู้ทรงเวท 1 ผู้ประกอบในการขอ 1 ผู้บูชาไฟ 1 ทั้ง 3 ประการนี้ เป็นพราหมณ์ที่ใครๆ ไม่ควรจะฆ่า เพราะผู้ใดฆ่าพราหมณ์ ผู้นั้นย่อมเกิดในนรก” สุโภคะได้ฟังดังนั้นแล้ว ก็เกิดความลังเลใจ จึงคิดว่า “เราจะพาพราหมณ์นี้ไปยังนาคพิภพ สอบถามพี่น้องดูก็จักรู้ได้”

จึงกล่าวว่า “เมืองของท้าวธตรฐ อยู่ภายใต้แม่น้ำยมุนา จดหิมวันตบรรพต ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลแม่น้ำยมุนา ล้วนแล้วไป ด้วยทองคำงามรุ่งเรือง พี่น้องร่วมท้องของเรา ล้วนเป็นคนมีชื่อลือชา อยู่ในเมืองนั้น ดูก่อนพราหมณ์ พี่น้องของเราเหล่านั้นจักว่าอย่างไร เราจักต้องเป็นอย่างนั้น” ครั้นพญาสุโภคะกล่าวดังนั้นแล้ว จึงจับคอพราหมณ์เสือกไสไปพลาง บริภาษ (ด่าทอ) ไปพลาง จนถึงประตูปราสาทของพระโพธิสัตว์ (จบสุโภคกัณฑ์)

ลำดับนั้น กาณาริฏฐะนั่งเฝ้าประตูอยู่ เห็นสุโภคะพาพราหมณ์เนสาททรมานมาดังนั้น จึงเดินสวนทางไปบอกว่า “แน่ะ พี่สุโภคะ พี่อย่าเบียดเบียนพราหมณ์นั้น เพราะพวกที่ชื่อว่า พราหมณ์ในโลกนี้ เป็นบุตรท้าวมหาพรหม ถ้าท้าวมหาพรหมรู้เข้าก็จักโกรธว่า นาคเหล่านี้เบียดเบียน แม้ลูกทั้งหลายของเราแล้ว จักทำนาคพิภพทั้งสิ้นให้พินาศ เพราะพวกที่ชื่อว่า เป็นพราหมณ์ เป็นผู้ประเสริฐและมีอานุภาพมากในโลก พี่ไม่รู้จักอานุภาพของพวกพราหมณ์เหล่านั้น ส่วนข้าพเจ้ารู้”

ความว่า อริฏฐะ หรือ กาณาริฏฐะนาคนั้น ในภพชาติลำดับที่ล่วงมา ได้เกิดเป็นพราหมณ์ และเคยทำพิธีบูชายัญ เพราะฉะนั้น จึงได้กล่าวอย่างนี้ เมื่อได้กล่าวดังนั้นแล้ว ด้วยอำนาจที่ตนเคยเสวยมาในกาลก่อน จึงมีปกติฝังอยู่ในการบูชายัญ จึงเรียกสุโภคะและนาคบริษัทมาบอกว่า

“ท่านผู้เจริญทั้งหลาย จงมาเถิด เราจักพรรณนาคุณของพราหมณ์ผู้ทำการบูชายัญ ดังนี้แล้ว” เมื่อเริ่มกล่าวพรรณนายัญจึงกล่าวว่า “ข้าแต่พี่สุโภคะ ยัญและเวททั้งหลายในโลกที่พวกพราหมณ์นอกนี้ประกอบขึ้น ไม่ใช่เป็นของเล็กน้อย เพราะฉะนั้น ผู้ติเตียนพราหมณ์ซึ่งใครๆ ไม่ควรติเตียน ชื่อว่าย่อมละทิ้งทรัพย์เครื่องปลื้มใจ และธรรมของสัตบุรุษเสีย”

กาณาริฏฐะได้กล่าวกะพญาสุโภคะนั้นว่า “ดูก่อนพี่สุโภคะ พี่สุโภคะรู้หรือไม่ว่า โลกนี้ใครสร้าง” เมื่อสุโภคะตอบว่า “ไม่รู้” เพื่อจะแสดงว่า โลกนี้ท้าวมหาพรหม ปู่ของพวกพราหมณ์สร้าง จึงกล่าวความว่า “พวกพราหมณ์ ถือการทรงไตรเพท พวกกษัตริย์ปกครองแผ่นดิน พวกแพศย์ยึดการไถนา และพวกศูทรยึดการบำเรอ วรรณะทั้ง 4 นี้ เข้าถึงการงานตามที่อ้างมาเฉพาะอย่างๆ นั้น กล่าวกันว่า มหาพรหม ผู้มีอำนาจจัดทำไว้” (เป็นความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ที่บัญญัติเรื่องชนชั้นวรรณะ โดยกาณาริฏฐะอ้างอิงจากคำกล่าวของท้าวมหาพรหม)

เล่ากันมาว่า พรหมนิรมิตวรรณะ 4 มี พราหมณ์เป็นต้นแล้ว กล่าวกะพราหมณ์ทั้งหลายผู้ประเสริฐ เป็นอันดับแรกว่า พวกท่านจงยึดการศึกษาไตรเพทเท่านั้น อย่ากระทำสิ่งอะไรอื่น กล่าวกะพระราชาว่า พวกท่านจงปกครองแผ่นดินอย่างเดียว อย่ากระทำสิ่งอะไรอื่น กล่าวพวกแพศย์ว่า พวกท่านจง ยึดการไถนาอย่างเดียว กล่าวกะพวกศูทรว่า พวกท่านจงยึดการบำเรอวรรณะ ๓ อย่างเดียว ตั้งแต่นั้นมา ท่านกล่าวว่า พราหมณ์ผู้ประเสริฐยึดการศึกษาไตรเพท พระราชายึดการปกครอง แพศย์ยึดการไถนา ศูทรยึดการบำเรอ

กาณาริฎฐะกล่าวว่า “ขึ้นชื่อว่า มหาพรหมผู้มีอานุภาพมากอย่างนี้ ก็ผู้ใดทำจิตให้เลื่อมใส ในมหาพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมให้ทาน ผู้นั้นไม่มีการถือปฏิสนธิในที่อื่น ย่อมไปสู่เทวโลกอย่างเดียว พระพรหมผู้สร้างโลก ท้าววรุณ ท้าวกุเวร ท้าวโสมะ พระยายม พระจันทร์ พระวายุ พระอาทิตย์ แม้ท่านเหล่านี้ ก็ล้วนบูชายัญมามากแล้ว และบูชาสิ่งที่น่าใคร่ทุกอย่าง แก่พราหมณ์ผู้ทรงเวท ท้าวอรชุนและท้าวภีมเสน มีกำลังมาก มีแขนนับพัน ไม่มีใครเสมอในแผ่นดิน ยกธนูได้ 500 คัน ก็ได้บูชาไฟมาแต่ก่อน” กาณาริฏฐะนั้น

เมื่อจะสรรเสริญเฉพาะพวกพราหมณ์ แม้ให้ยิ่งขึ้นไป จึงกล่าวคาถาว่า “ดูก่อนพี่สุโภคะ ผู้ใดเลี้ยงพราหมณ์ มานานด้วย ข้าวและน้ำตามกำลัง ผู้นั้นมีจิตเลื่อมใสอนุโมทนาอยู่ ได้เป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง”

“พราหมณ์ผู้ใด สามารถบูชาเทวดา คือไฟ ผู้กินมาก มีสีไม่ทราม ไม่อิ่มหนำด้วยเนยใส พราหมณ์ผู้นั้นบูชายัญวิธีแก่เทวดา คือไฟผู้ประเสริฐแล้ว ได้ไปบังเกิดในทิพยคติ และได้เข้าเฝ้าพระเจ้ายุตินทะ”

เล่ากันมาว่า “พระราชาพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่ามุชตินทะ ในกรุงพาราณสี ในกาลก่อน ตรัสสั่งให้เรียก พราหมณ์ทั้งหลายมาแล้ว ถามถึงทางไปสวรรค์ ลำดับนั้น พราหมณ์เหล่านั้น ทูลพระราชานั้นว่า ขอพระองค์จงทรงกระทำสักการะ แก่พวกพราหมณ์ และแก่เทวดาผู้เป็นพราหมณ์ เมื่อพระราชาตรัสถามว่า เทวดาผู้เป็นพราหมณ์เหล่าไหน จึงทูลว่า เทวดาคือไฟ ดังนี้ แล้วจึงทูลพระราชาว่า ขอพระองค์จงให้ไฟนั้นอิ่มหนำ ด้วยเนยใสและเนยข้น พระราชานั้นได้ทรงกระทำอย่างนั้น” อริฏฐะนั้น เมื่อจะประกาศความนั้น จึงกล่าวว่า “พระเจ้าทุทีปะ มีอานุภาพมาก มีอายุ 1,000 ปี มีพระรูปงาม น่าดูยิ่งนัก ทรงละแว่นแคว้น. อันไม่มีที่สุดพร้อมทั้งเสนา เสด็จออกผนวชแล้ว ได้เสด็จสู่สวรรค์”

กาณาริฏฐะ เมื่อจะแสดงอุทาหรณ์อื่นอีกแก่สุโภคะนั้น จึงกล่าวว่า “ข้าแต่พี่สุโภคะ พระเจ้าสาครราชทรงปราบ แผ่นดินอันมีสาครเป็นที่สุด รับสั่งให้ตั้งเสาผูกสัตว์ บูชายัญอันงามยิ่งนัก ล้วนแล้วด้วยทองคำ ทรงบูชาไฟแล้วได้เป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง แม่น้ำคงคาและสมุทร เป็นที่สั่งสมนมส้ม ย่อมเป็นไปด้วยอานุภาพของผู้ใด ผู้นั้นคือ พระเจ้าอังคโลมบาท ทรงบำเรอไฟ แล้วเสด็จไปเกิด ในพระนครของท้าวสหัสนัยน์”

“ดูก่อนพี่สุโภคะ แม่น้ำคงคาและมหาสมุทรใครสร้างพี่รู้ไหม” สุโภคะกล่าวว่า “เราไม่รู้” อริฏฐะกล่าวว่า “พี่ไม่รู้อะไร พี่รู้แต่จะโบยตีพราหมณ์เท่านั้น ก็ในอดีตกาลพระเจ้ากรุงพาราณสีทรงพระนามว่า อังคโลมบาท ตรัสถามทางสวรรค์กะพวกพราหมณ์ เมื่อพวกพราหมณ์ทูลว่า พระองค์จงเสด็จเข้าไปหิมวันต์ กระทำสักการะแก่พราหมณ์ทั้งหลายแล้ว บำเรอไฟ พระองค์จึงพาแม่โคนมและพระมเหสี หาประมาณมิได้เข้าไปยังหิมวันต์ ได้กระทำอย่างนั้น เมื่อพระราชาตรัสถามว่า นมสดและนมส้มที่เหลือจากพวกพราหมณ์บริโภคแล้ว จะพึงทำอย่างไร จึงกล่าวว่า จงทิ้งเสีย ในที่ๆ น้ำนมแต่ละน้อยถูกทิ้งลงไปนั้นๆ ได้กลายเป็นแม่น้ำน้อย ส่วนน้ำนมนั้นกลายเป็นนมส้ม ไหลไปขังอยู่ในที่ใด ที่นั้นได้กลายเป็นสมุทรไป พระเจ้าพาราณสีทรงกระทำ สักการะเห็นปานนี้ เสด็จไปสู่บุรีของท้าวสหัสสนัยน์ ผู้บำเรอไฟตามวิธีที่พราหมณ์กล่าว ด้วยประการฉะนี้” กาณาริฏฐะ ครั้นนำอดีตนิทานนี้มาชี้แจงแก่สุโภคะดังนี้แล้ว จึงกล่าวคาถาว่า “เทวดาผู้ประเสริฐ มีฤทธิ์มาก มียศ เป็นเสนาบดีของท้าววาสวะในไตรทิพย์ กำจัดมลทินด้วยโสมยาควิธี (บูชาด้วยการดื่มน้ำโสม) ได้เป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง”

“ดูก่อนพี่สุโภคะผู้เจริญ บัดนี้ ผู้ที่เป็นเสนาบดีของท้าวสักกเทวราช มียศมาก เป็นเทพบุตร. แม้ผู้นั้น เมื่อก่อน เป็นพระเจ้าพาราณสี ถามถึงทางเป็นที่ไปสวรรค์กะพวกพราหมณ์. เมื่อพวกพราหมณ์กล่าวว่า ขอพระองค์จงลอยมลทินของตน ด้วยโสมยาควิธีแล้วจะไปสู่เทวโลก. จึงทรงกระทำสักการะใหญ่แก่พราหมณ์ทั้งหลายแล้ว กระทำการบูชาโสมยาคะ ตามวิธีที่พวกพราหมณ์เหล่านั้นกล่าวแล้ว จึงทรงกำจัดมลทินด้วยวิธีนั้นแล้ว เกิดเป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง”

“เทวดาผู้ประเสริฐ มีฤทธิ์เรืองยศสร้างโลกนี้โลกหน้า แม่น้ำภาคีรถี (หรือภาติรถี) ภูเขามาลาคิริ ขุนเขาหิมวันต์ เขาวิชฌะ ภูเขาสุทัสนะ ภูเขานิสภะ ภูเขากากเวรุ ภูเขาเหล่านี้ และภูเขาใหญ่อื่นๆ กล่าวกันว่า พวกพราหมณ์ ผู้บูชายัญได้ก่อสร้างไว้”

“ดูก่อนพี่สุโภคะ มหาพรหมใด ได้สร้างโลกนี้และโลกหน้า แม่น้ำภาคีรถี แม่น้ำคงคา ขุนเขาหิมวันต์ เขาวิชฌะและเขากากเวรุ ในกาลใด มหาพรหมแม้นั้นได้เป็นมาณพก่อนกว่าพรหมอุบัต. ในกาลนั้นเขาเริ่มต้นบูชาไฟ เป็นมหาพรหมได้สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง พราหมณ์ผู้มีฤทธิ์ก็เป็นอย่างนั้น”

“เล่ากันมาว่า เมื่อก่อน พระเจ้ากรุงพาราณสีพระองค์หนึ่ง ตรัสถามถึงทางไปสวรรค์กะพวกพราหมณ์ เมื่อพวกพราหมณ์ทูลว่า ขอพระองค์จงทำสักการะแก่พวกพราหมณ์ พระองค์ก็ได้ถวายมหาทาน แก่พราหมณ์เหล่านั้น แล้วตรัสถามว่า ในการให้ทานของข้าพเจ้านี้ ไม่มีผลหรือ เมื่อพวกพราหมณ์ทูลว่า มีทั้งหมด พระเจ้าข้า แต่อาสนะไม่เพียงพอแก่พวกพราหมณ์ จึงรับสั่งให้ก่ออิฐสร้างอาสนะทั้งหลาย ที่นอนและตั่งที่พระองค์ให้ก่อสร้างขึ้นนั้น เจริญด้วยอานุภาพของพวกพราหมณ์ กลายเป็นภูเขามาลาคิริเป็นต้น ภูเขาเหล่านั้นกล่าวกันว่า พวกพราหมณ์ผู้บูชายัญ ได้สร้างไว้ด้วยประการฉะนี้แล”

ลำดับนั้น กาณาริฏฐะกล่าวอีกว่า “พี่สุโภคะ ก็พี่รู้หรือไม่ว่า เพราะเหตุไร สมุทรนี้จึงเกิดเป็นน้ำเค็ม ดื่มไม่ได้” สุโภคะกล่าวว่า “ดูก่อนอริฏฐะ พี่ไม่รู้” กาณาริฏฐะจึงกล่าวกับสุโภคะนั้นว่า “พี่ก็รู้แต่จะเบียดเบียนพวกพราหมณ์เท่านั้น ไม่รู้อะไรอื่นเลย คอยฟังเถิด” “ชนทั้งหลายเรียกพราหมณ์ผู้ทรงเวท ผู้เข้าถึงคุณแห่งมนต์ ผู้มีตบะ ในโลกนี้ว่ายาจโยคี ผู้ประกอบในการขออ้อนวอน มหาสมุทรซัดท่วมพราหมณ์ ผู้กำลังตระเตรียมน้ำอยู่ ที่ฝั่งมหาสมุทร เพราะเหตุนั้น น้ำในมหาสมุทร จึงดื่มไม่ได้”

“เล่ากันว่า วันหนึ่งพราหมณ์นั้น กระทำกรรม คือการลอยบาป ยืนอยู่ที่ริมฝั่ง ตักน้ำจากสมุทร กระทำการดำเกล้าสระหัวของตน ขณะนั้นสาครกำเริบท่วมทับพราหมณ์นั้น ผู้กระทำอย่างนั้น มหาพรหมได้ทรงสดับเหตุนั้นจึงโกรธว่า ได้ทราบว่า สาครนี้ฆ่าบุตรเรา จึงสาปว่าสมุทรจงดื่มไม่ได้ จงเป็นน้ำเค็ม ด้วยเหตุนั้นนั่นเอง สมุทรจึงดื่มไม่ได้ กลายเป็นน้ำเค็ม ชื่อว่าพราหมณ์เหล่านี้ มีคุณมากถึงปานนี้แล”

“วัตถุที่ควรบูชา คือพวกพราหมณ์เป็นอันมากมีอยู่บนแผ่นดิน ของ*ท้าววาสวะ พราหมณ์ทั้งหลายมีอยู่ในทิศบูรพา ทิศปัจฉิม ทิศทักษิณและทิศอุดร ย่อมยังปีติและโสมนัสให้เกิด” กาณาริฏฐะพรรณนาถึงพราหมณ์ ยัญ และ เวทด้วยประการฉะนี้ (จบการพรรณนายัญญวาท) (ยัญญ คือการบูชา วาท คือคำหรือลัทธิ)

(เหตุแห่งชื่อท้าวสักกะเทวราช *สักกะ คือ ผู้ให้ทานโดยความเคารพ, วาสวะ คือ ผู้ให้ที่อยู่อาศัยแก่ผู้อื่น, ปุรินททะ คือ ผู้ให้ทานมาก่อน, มัฆวาน หรือ ท้าวมัฆวะ แสดงชื่อตามสมัยที่เกิดเป็นมนุษย์ (มฆะ), สหัสนัยน์ คือ ผู้คิดข้อความได้โดยเร็ว, เทวานมินท์ คือ เทวดาที่เป็นใหญ่กว่าเทวดาทั้งหลาย)

· พระภูริทัตโพธิสัตว์นาคราชแสดงธรรม

(พระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นพญานาค ตอนที่ 6)

นาคเป็นอันมากผู้มาเยี่ยมเยียนพระมหาสัตว์ ฟังถ้อยคำนั้นของกาณาริฏฐะนั้นแล้ว ก็พลอยถือเอาผิดๆ ด้วยคิดว่า อริฏฐะพูดแต่ความจริงเท่านั้น พระมหาสัตว์นอนป่วยอยู่ ได้ฟังคำนั้นทั้งหมดแล้ว ทั้งพวกก็มาแจ้งให้ท่านทราบอีก ลำดับนั้น ท่านคิดว่า “อริฏฐะพรรณนาทางผิดๆ เอาเถอะเราจะทำลายวาทะของกาณาริฏฐะนั้น แล้วจักกระทำบริษัทให้เป็นสัมมาทิฏฐิ”

พระโพธิสัตว์ลุกขึ้นอาบน้ำ ประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง นั่งบนธรรมาสน์ สั่งให้นาคบริษัททั้งหมดประชุมกัน ให้เรียกกาณาริฏฐะมาแล้วกล่าวว่า

“เจ้ากล่าวสรรเสริญสิ่งที่ไม่จริง คือ เวท ยัญ และพราหมณ์ทั้งหลาย ก็ขึ้นชื่อว่า การบูชายัญด้วยวิธีเวทของพราหมณ์ทั้งหลาย ไม่นับว่าเป็นสิ่งประเสริฐเลย และไม่ใช่เป็นทางแห่งสวรรค์ เราจะชี้ข้อไม่เป็นจริงในวาทะของท่าน ดังนี้แล้ว”

เมื่อจะเริ่มชื่อวาทะ อันว่าด้วยประเภทแห่งยัญ จึงกล่าวว่า

“ดูก่อนอริฏฐะ ความกาลี คือความปราชัยของนักปราชญ์ทั้งหลาย กลับเป็นความมีชัยของคนโง่เขลา ผู้ทรงเวท ไตรเพทเป็นเหมือนอาการของพยับแดด เพราะเป็นของไม่เห็นเสมอไป มีคุณทางหลอกลวง พาเอาคนมีปัญญาไปไม่ได้ ไตรเพทมิได้มีเพื่อป้องกันคนผู้ประทุษร้ายมิตร ผู้ล้างผลาญความเจริญ เหมือนไฟที่คนบำเรอแล้ว ย่อมป้องกันโทสจริตทำกรรมชั่วไม่ได้”

“ถ้าคนทั้งหลายจะเอาไม้ที่มีอยู่ในโลกทั้งหมด พร้อมทั้งทรัพย์สมบัติของตน คลุกกับหญ้าให้ไฟเผา ไฟอันมีเดชไม่มีใครเทียม เผาสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดก็ไม่อิ่ม ใครจะพึงทำให้ไฟซึ่งรู้รส 2 อย่าง ให้อิ่มได้ นมสดแปรไปได้เป็นธรรมดา คือแปรเป็นนมส้ม แล้วเป็นเนยข้นฉันใด ไฟก็มีความแปรเป็นธรรมดาฉันนั้น”

“ไฟประกอบด้วยความเพียร (ในการสีไฟ) จึงจะเกิดได้ ไม่เคยได้เห็นไฟ เข้าไปอยู่ในไม้แห้งและไม้สด คนสีไฟไม่สี ไฟก็ไม่เกิด ไฟไม่เกิดเพราะไม่มีคนทำให้เกิด ถ้าแหละไฟพึงอยู่ภายในไม้แห้งและไม้สด ป่าทั้งหมดในโลกก็จะพึงแห้งไป และไม้แห้งก็จะพึงลุกโพลง ถ้าคนทำบุญได้โดยเอาไม้และหญ้าให้ไฟกิน คนเผาถ่าน คนหุงเกลือ พ่อครัว และคนเผาศพ ก็จะพึงได้ทำบุญ”

“ถ้าแม้พราหมณ์เหล่านี้ทำบุญได้ เพราะการเลี้ยงไฟ เพราะเรียนมนต์ เพราะเลี้ยงให้อิ่มหนำ ในโลกนี้ใครๆ ผู้เอาของให้ไฟกิน จะชื่อว่าทำบุญหาไม่ เพราะเหตุไรเล่า เพราะไฟเป็นสิ่งอันโลกยำเกรง รู้รสสองอย่าง พึงกินได้มาก ทั้งเป็นของเหม็นมีกลิ่นอันไม่น่าฟูใจ คนเป็นอันมากไม่ชอบ พวกมนุษย์ละเว้น และเป็นของไม่ประเสริฐ คนบางพวกนับถือไฟเป็นเทวดา ส่วนพวกมิลักขุ (มิลักขุ คือ คนป่าเถื่อน)นับถือน้ำเป็นเทวดา คนเหล่านี้ทั้งหมดนี้พูดผิด ไฟไม่ใช่เทพเจ้าตนใดตนหนึ่ง และน้ำไม่ใช่เทพเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง โลกบำเรอไฟซึ่งไม่มีอินทรีย์ ไม่มีกายจะรู้สึกได้ ส่องแสงสว่างเป็นเครื่องทำการงานของประชาชน เมื่อยังทำบาปกรรมอยู่ จะพึงไปสุคติได้อย่างไร”

“พวกพราหมณ์ผู้ต้องการเลี้ยงชีวิตในโลกนี้กล่าวว่า พระพรหมครอบงำได้ทั้งหมด และว่าพระพรหมบำเรอไฟ พระพรหมมีอานุภาพกว่าทุกสิ่ง และมีอำนาจไม่มีใครสร้าง กลับไปไหว้ไฟที่ตนสร้างเพื่อประโยชน์อะไร คำของพวกพราหมณ์น่าหัวเราะเยาะ ไม่ควรแก่การเพ่งเล็ง ไม่เป็นความจริง พวกพราหมณ์ในปางก่อนก่อขึ้นไว้ เพราะเหตุแห่งสักการะ พราหมณ์เหล่านั้น เมื่อลาภและสักการะเกิดขึ้น จึงร้อยกรองยัญพิธีว่า เป็นธรรมสงบระงับ ด้วยการฆ่าสัตว์บูชายัญ”

“พวกพราหมณ์ถือการทรงไตรเพท พวกกษัตริย์ปกครองแผ่นดิน พวกแพศย์ยึดการไถนา และพวกศูทรยึดการบำเรอ วรรณะทั้ง 4 เข้าถึงการงานตามที่อ้างมา เฉพาะอย่างๆ นั้น กล่าวกันว่า มหาพรหมผู้มีอำนาจจัดไว้ ถ้าคำนี้พึงเป็นคำจริงเหมือนดังที่พวกพราหมณ์กล่าวไว้ คนที่ไม่ใช่กษัตริย์ ไม่พึงได้ราชสมบัติ ผู้ที่ไม่ใช่พราหมณ์ ไม่พึงศึกษามนต์ คนนอกจากแพศย์ไม่พึงทำการไถนาเลย และพวกศูทรก็ไม่พึงพ้นจากการรับใช้ผู้อื่น เพราะคำนี้เป็นคำไม่จริงเป็นคำเท็จ พวกคนหาเลี้ยงท้องกล่าวไว้ คนไม่มีปัญญาหลงเชื่อ”

“บัณฑิตทั้งหลายย่อมเห็นด้วยตนเอง เพราะพวกกษัตริย์ย่อมเก็บส่วยจากพวกแพศย์ พวกพราหมณ์ พวกพราหมณ์ถือศัสตรา (อาวุธ) เที่ยวฆ่าสัตว์ เพราะเหตุไร พระพรหมจึงไม่ทำโลก อันแตกต่างกันเช่นนั้นให้ตรงเสีย”

“ถ้าแหละพระพรหมนั้นเป็นใหญ่ เป็นผู้เจริญในโลกทั้งปวง เป็นเจ้าชีวิตของหมู่สัตว์ ทำไมจึงจัดโลกทั้งปวงให้มีความทุกข์ ทำไมจึงไม่ทำโลกทั้งปวงให้มีความสุข แหละพรหมนั้นเป็นใหญ่ เป็นผู้เจริญในโลกทั้งปวง เป็นเจ้าชีวิตของหมู่สัตว์ เหตุไรจึงทำโลกโดยไม่เป็นธรรม คือมารยาและเจรจาคำเท็จมัวเมา”

“ถ้าแหละพระพรหมนั้นเป็นใหญ่ เป็นผู้เจริญในโลกทั้งปวง เป็นเจ้าชีวิตของหมู่สัตว์ ก็ชื่อว่าเป็นเจ้าชีวิตของหมู่สัตว์ ก็ชื่อว่าเป็นเจ้าชีวิตอยุติธรรม เมื่อธรรมมีอยู่ พรหมนั้นก็จัดไม่เที่ยงธรรม ตั๊กแตน ผีเสื้อ งู แมลงภู่ หนอนและแมลงวัน ใครฆ่าแล้วย่อมบริสุทธิ์ ธรรมเหล่านี้ ไม่ใช่ของพระอริยะ เป็นธรรมผิดๆ ของชาวกัมโพชรัฐ (ชาวเมืองกัมโพชในมหาภารตะ) เป็นอันมาก”

“ดูก่อนอริฏฐะ ชื่อว่าความสำเร็จไตรเพทในบัดนี้ ก็เป็นความยึดถือเอาความกาลี อันนับว่าเป็นความปราชัยของนักปราชญ์ แต่กลับเป็นความมีชัยชนะของคนโง่เขลาเบาปัญญา” (ไตรเพทคือ พระเวท 3 อย่าง) “จริงอยู่ไตรเพทนี้เป็นเหมือน อาการธรรมดาของพยับแดด (เงาแสงแดด) เพราะเป็นของไม่เห็นเสมอไป คนพาลทั้งหลายไม่รู้ซึ่งธรรมดาของพยับแดดนี้นั้น อันไม่มีจริงเป็นเหมือนมีจริง เพราะการเห็นไม่ติดต่อกันเหมือน หมู่เนื้อมองเห็นพยับแดด ด้วยสัญญาว่า น้ำจึงพาตนเข้าถึงความพินาศ เพราะสัญญาว่ามีจริงและไม่มีโทษ”

“ก็มารยาเห็นปานนี้เป็นส่วนหนึ่ง ย่อมล่วงเลย คือไม่หลอกลวงบุรุษผู้มีปัญญา คือผู้สมบูรณ์ด้วย เวททั้งหลายของคนประทุษร้ายมิตร ผู้ฆ่าความเจริญ ย่อมไม่มีเพื่อความต้านทาน ไม่สามารถจะเป็นที่พึ่งได้ อนึ่ง ไฟที่เขาบำเรอบูชาหากเป็นกรรมชั่ว ย่อมไม่ต้านทาน คือไม่รักษาบุรุษผู้มีจิต อันประกอบด้วยโทษ เพราะโทษแห่งทุจริตทั้ง 3 ได้” “แม้ถ้าว่า คนทั้งหลาย ผู้มีทรัพย์ มีโภคะจะเอาไม้ที่มีอยู่ในโลกทั้งหมด พร้อมทั้งทรัพย์สมบัติของตน คลุกกับหญ้าแล้วให้ไฟเผา ไฟของท่านนี้ อันเดชไม่มีใครสามารถเท่า อันมีเดชไม่มีใครเหมือน เมื่อจะเผาสิ่งทั้งหมดนั้นที่พวกนั้นให้เผาแล้ว ก็ไม่พึงไหม้ได้ เมื่อเป็นอย่างนั้นมันก็เผาให้อิ่มไม่ได้”

“บุคคลผู้สามารถรู้รสได้ด้วยลิ้น 2 ลิ้น ว่าสิ่งนั้นเป็นภักษาดี หรือน่าพอใจด้วยเนยใสเป็นต้น ใครพึงกระทำ คือพึงสามารถเพื่อจะทำ ใครเล่าจักให้ผู้ไม่อิ่มอย่างนี้ คือผู้กินจุนี้ให้อิ่มแล้วไปสู่สวรรค์ ดูเถิดท่าน ข้อนั้นก็ยังผิดอยู่ตลอดกาล”

“ความว่าเป็นผู้ประกอบด้วยไม้สีไฟ พอได้สิ่งนั้นเป็นปัจจัย ก็เกิดขึ้น คือบังเกิด ท่านกล่าวกะไฟนั้นซึ่งไม่มีจิตที่เกิดขึ้น เพราะความพยายามของผู้อื่นอย่างนี้ว่า ท่านจงว่าฉันเป็นเทวดา พูดแต่สิ่งไม่เป็นจริงนี้เท่านั้น”

“ไม่เคยได้เห็นไฟเข้าไปในไม้แห้ง ถึงไม้แห้งคนสีไฟไม่สีด้วยไม้สีไฟ ไฟก็เกิดไม่ได้ เว้นการกระทำของบุรุษผู้ต้องการเวท ไฟก็ไม่เกิดได้เองตามธรรมดาของตนนั่นแล ป่าไม้ที่กำลังเหี่ยวแห้งด้วยไฟ ภายใจพึงแห้ง แม้ป่าไม้ที่ยังสดอยู่นั่นแหล่ะก็พึงแห้งเหี่ยว ให้บริโภค ประกอบด้วยเปลวควันให้ร้อนอยู่ คนเผ่าถ่าน คนต้มน้ำเค็มทำเกลือ คนครัว คนเผาศพ คนเหล่านั้นแม้ทั้งหมด พึงทำแต่บุญเท่านั้น แม้พราหมณ์ทั้งหลายจะเป็นผู้เลี้ยงไฟเรียนมนต์ก็ตาม คนบางคนให้เชื้อทำให้มีควันมีเปลวให้ร้อน แม้อิ่มแล้วก็ไม่เชื่อว่าทำบุญ”

“เทวดาของท่านชื่อว่า อันโลกยำเกรง อันโลกบูชา คนถึงเว้นสิ่งซึ่งปฏิกูลน่าเกลียด มีซากงูเป็นต้น ให้ห่างไกล ดูก่อนสหาย คนรู้รส 2 อย่าง พึงกินของที่ไม่ประเสริฐนั้นได้อย่างไร คือเพราะเหตุไร คนบางพวกนับถือนกยูง นับถือเทวดาตนใดตนหนึ่ง บรรดาเทวดาทั้งหลาย ส่วนพวกมิลักขุผู้ไม่รู้ นับถือน้ำดังเป็นเทวดา ความว่า โลกบำเรอไฟ อันได้ชื่อว่าเวสสนานระซึ่งไม่มีอินทรีย์ มีกายที่ไม่มีจิตจะรู้สึกได้ ไม่มีความจงใจ กระทำกรรมมีการหุงต้มเป็นต้น แก่ประชาชนแล้วกระทำกรรมชั่ว จักไปสุคติได้อย่างไร คำนี้ท่านพูดผิดยิ่งนัก”

“ความว่า พวกพราหมณ์เหล่านี้ กล่าวว่า มหาพรหมครอบงำได้ทั้งหมด เพื่อความเป็นอยู่ของตน และกล่าวว่า โลกทั้งหมด อันมหาพรหมนั่นแหละสร้างขึ้น กล่าวอีกว่า พระพรหมบำเรอไฟ เล่ากันมาว่า พระพรหมนั่นแหละบูชาไฟ และพระพรหมนั้น ถ้ามีอานุภาพทุกอย่าง และมีความคล่องในฤทธิไซร้ เมื่อเป็นเช่นนี้ เพราะเหตุไรตนเองจึงไม่ใช้คนอื่นสร้าง ตนเองเท่านั้นสร้างขึ้นเอง พระพรหมนั้น พึงเป็นผู้อันเขากราบไหว้ แม้คำนี้ท่านกล่าวไม่ถูกเหมือนกัน”

“ดูก่อนอริฏฐะ ขึ้นชื่อว่าคำของพราหมณ์ เป็นคำที่ควรจะหัวเราะ ไม่ควรจะเพ่งดูสำหรับบัณฑิตทั้งหลาย พราหมณ์เหล่านี้มุสาวาทเห็นปานนี้ พวกพราหมณ์ได้ก่อสร้างขึ้นในกาลก่อน เพราะเหตุแห่งสักการะเพื่อตน พราหมณ์เหล่านี้ประกอบลาภและสักการะเพียงเท่านี้ที่ไม่ปรากฏกับพวกสัตว์ แล้วผูกพันสันติธรรมคือ ลัทธิธรรมของตน อันเกี่ยวด้วยการฆ่าสัตว์ จึงร้อยกรองยัญวิธี ชื่อว่ายัญสูตร หากจะพึงมีความจริงไซร้ ก็จะพึงมีเป็นต้นว่า นั่นเป็นสิ่งประเสริฐ ด้วยการที่ท่านอ้างเอาเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ที่ไม่ใช่กษัตริย์ จะครองรัฐไม่ได้ แม้ผู้ที่ไม่ใช่พราหมณ์ ก็ศึกษาบทมนต์ไม่ได้ พวกคนหาเลี้ยงท้อง หรือเพราะเหตุจะให้เต็มท้อง เขากล่าวไว้ว่าคนพวกนั้น คือคนไม่มีปัญญา ส่วนบัณฑิตทั้งหลาย ย่อมเห็นด้วยตนเอง คำของพวกนั้นเป็นคำมีโทษ จึงไม่หลงเชื่อ คำนั้นคือเห็นปานนั้น เพราะเหตุไร พระพรหมของท่านนั้น จึงไม่ทำโลกอันกำเริบแตกต่างกัน ที่ตั้งทำลายมารยาทที่พรหมตั้งไว้ให้ตรง เพราะเหตุไร พระพรหมของท่านจึงสร้างโลกทั้งปวงให้เป็นทุกข์ เพราะเหตุไร พระพรหมของท่าน จึงไม่สร้างโลกทั้งปวงให้รับแต่ความสุขโดยส่วนเดียว พระพรหมของท่านเห็นจะเป็นโจรผู้ทำให้โลกพินาศ เพราะเหตุไร พระพรหมของท่านจึงทำโลกทั้งปวงให้พินาศ คือประกอบไว้ในทางไร้ประโยชน์ ด้วยอรรถมีมารยาเป็นต้นนี้”

“ดูก่อนอริฏฐะ ผู้เป็นใหญ่ของท่านไม่ประกอบด้วยธรรม ซึ่งเมื่อกุศลธรรม 10 ประการมีอยู่ ไม่จัดแจงธรรมเลย จัดแจงแต่อธรรม คำในบทว่า กีฏา เป็นต้น เป็นปฐมาวิภัติ ใช้ในอรรถแห่งทุติยาวิภัติ คนฆ่าสัตว์มีตั๊กแตนเป็นต้นเหล่านั้น ย่อมบริสุทธิ์ ย่อมไปสู่สวรรค์ ก็ธรรมเหล่านั้นเป็นของคนมาก ผู้ไม่ใช่พระอริยะ มีชาวแคว้นกัมโพชเป็นต้น แต่ธรรมเหล่านั้นไม่แท้ ไม่เป็นธรรม กล่าวว่าเป็นธรรม ธรรมเหล่านั้นเป็นของที่พรหมของท่านสร้างขึ้น”

เมื่อพระภูริทัตจะแสดงความไม่จริงแห่งธรรมเหล่านั้น จึงกล่าวว่า

“ถ้าแหละคนฆ่าเขาแล้วย่อมบริสุทธิ์ และผู้ถูกฆ่าย่อมเข้าถึงแดนสวรรค์ พวกพราหมณ์ก็พึงฆ่าพวกพราหมณ์ด้วยกันเสียซิ หรือพึงฆ่าพวกที่หลงเชื่อถ้อยคำ ของพราหมณ์ด้วยกันเสียซิ พวกเนื้อ ปศุสัตว์ และโคตัวไหนๆ ไม่ได้อ้อนวอนเพื่อให้ฆ่าตนเลย ล้วนแต่ดิ้นรน ต้องการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้”

“ชนทั้งหลายย่อมนำเอา สัตว์และปศุสัตว์เข้าผูกที่เสายัญ พวกคนพาล ย่อมยื่นหน้าเข้าไปที่เสาบูชายัญ เป็นที่ผูกสัตว์ด้วยการพรรณนาต่างๆ ว่า เสายัญนี้จะให้สิ่งที่น่าใคร่แก่ท่าน ในโลกหน้า จะเป็นของยั่งยืนในสัมปรายภพ ถ้าว่าบุคคลพึงได้แก้วมณี สังข์ มุกดา ข้าวเปลือก ทรัพย์ เงิน ทอง ที่เสายัญ ในไม้แห้ง และไม้สดไซร้ อนึ่ง เสายัญจะพึงให้ สิ่งที่น่าใคร่ทั้งปวงในไตรทิพย์ได้ พราหมณ์เท่านั้นพึงบูชายัญ ผู้ที่ไม่ใช่พราหมณ์ ก็จะไม่พึงให้พราหมณ์บูชายัญอะไรๆ เลย แก้วมณี สังข์ มุกดา ข้าวเปลือก ทรัพย์ เงิน ทอง จักมีที่เสายัญ ที่ไม้แห้ง ที่ไม้สด ที่ไหน เสายัญจะพึงให้ สิ่งที่น่าใคร่ทั้งปวง ในไตรทิพย์ที่ไหน”

“พราหมณ์เหล่านี้เป็นคนโอ้อวด หยาบช้า โง่เขลา โลภจัด ยื่นหน้าเข้าไปด้วยการพรรณนาต่างๆ ว่า จงถือเอาไฟมา และจงให้ทรัพย์แก่เรา แต่นั้นท่านให้สิ่งที่น่าใคร่ทั้งปวงแล้ว จักมีความสุข พวกที่โกนผม โกนหนวดและตัดเล็บ พาพระราชาหรือมหาอำมาตย์ เข้าไปในโรงบูชาไฟ ยื่นหน้าเข้าไปด้วยการพรรณนาต่างๆ ย่อมถือเอาทรัพย์ด้วยเวท”

“พวกพราหมณ์ผู้โกหก พอหลอกลวงได้คนหนึ่ง ก็มาประชุมกินกันเป็นอันมาก เหมือนฝูงกาตอมนกเค้า หลอกเอาจนเกลี้ยงแล้ว เก็บไว้ที่บริเวณบูชายัญ พวกพราหมณ์ลวงผู้นั้นได้คนหนึ่งอย่างนี้แล้ว ก็พากันมาเป็นอันมาก ใช้ความพยายามล่อหลอกพรรณนา ด้วยสิ่งที่ไม่แลเห็น ปล้นเอาทรัพย์ที่แลเห็นไป เหมือนพวกราชบุรุษที่พระราชาสอนให้เก็บส่วย เก็บเอาทรัพย์ของพระราชาไป ฉะนั้น”

“ดูก่อนอริฏฐะ พราหมณ์เช่นนั้นเป็นเหมือนโจร ไม่ใช่สัตบุรุษ เป็นผู้ควรจะฆ่าเสีย แต่ไม่มีใครฆ่าในโลก”

“พวกพราหมณ์กล่าวว่า ไม้ทองหลางเป็นแขนขวาของพระอินทร์ จึงตัดเอาไม้ทองหลางมาใช้ในยัญนี้ ถ้าคำนั้นเป็นคำจริง พระอินทร์ก็แขนขาด ทำไมพวกพระอินทร์จึงชนะพวกอสูร ด้วยกำลังแขนนั้นได้ คำนั้นเป็นคำเท็จ พระอินทร์ยังมีแขน พร้อมเป็นเทวดาชั้นดีเลิศ ไม่มีใครฆ่าได้ กำจัดอสูรได้”

“มนต์ของพราหมณ์เหล่านี้เหลวเปล่า หลอกลวงกันให้เห็นได้เฉพาะในโลกนี้ ภูเขามาลาคิรี ขุนเขาหิมวันต์ ภูเขาวิชฌะ ภูเขาสุทัสสนะ ภูเขานิสภะ ภูเขากากเวรุ ภูเขาเหล่านี้และภูเขาใหญ่อื่นๆ ที่กล่าวกันว่า พวกพราหมณ์ผู้บูชายัญก่อสร้างไว้ ที่กล่าวกันว่า พวกพราหมณ์ผู้บูชายัญเอาอิฐเช่นใดมาสร้างภูเขา อิฐเช่นนั้นก็ไม่ใช่ธรรมชาติของภูเขา ภูเขาเป็นอย่างอื่น ไม่หวั่นไหว เห็นได้ชัดๆ ว่าเป็นหิน ไม่ใช่อิฐ เป็นหินมานมนาน เหล็กและโลหะย่อมไม่เกิดในอิฐ ที่พวกพราหมณ์สรรเสริญยัญกล่าวไว้ว่า ผู้บูชายัญก่อสร้างไว้ ชนทั้งหลายเรียกพราหมณ์ผู้ทรงเวท ผู้เข้าถึงคุณแห่งมนต์ ผู้มีตบะในโลกนี้ว่า ผู้ประกอบในการขอ”

“มหาสมุทรซัดท่วมพราหมณ์นั้น ผู้กำลังตระเตรียมน้ำอยู่ที่ฝั่งมหาสมุทร เพราะเหตุนั้น น้ำในมหาสมุทรจึงดื่มไม่ได้ แม่น้ำพัดเอาพราหมณ์ ผู้เรียนเวท ทรงมนต์ ไปเกินกว่าพัน เหตุไรน้ำในแม่น้ำจึงมีรสไม่เสีย มหาสมุทรเท่านั้นดื่มไม่ได้ บ่อน้ำทั้งหลายในมนุษย์โลกนี้ ที่เขาขุดไว้เกิดเป็นน้ำเค็มก็มี แต่ไม่ใช่เค็มเพราะท่วมพราหมณ์ตาย น้ำในบ่อเหล่านั้นดื่มไม่ได้ เป็นน้ำรู้รสสองอย่าง”

“ครั้งดึกดำบรรพ์ ตั้งแต่ปฐมกัป ใครเป็นภรรยาใคร ใครได้ให้มนุษย์เกิดขึ้นก่อน โดยธรรมแม้นั้น ใครๆ ไม่เลวไปกว่าใคร ท่านกล่าวจำแนกส่วนไว้อย่างนี้ แม้ลูกคนจัณฑาลก็พึงเรียนเวท สวดมนต์ได้ (ถ้า) เป็นคนฉลาด มีความคิด หัวของเขาก็ไม่พึงแตกเจ็ดเสี่ยง มนต์เหล่านี้พวกพรหมสร้างไว้เพื่อฆ่าตน เป็นการสร้างแต่ปาก เป็นการสร้างยึดถือไว้ด้วยความโลภ เปลื้องได้ยาก เข้าถึงคลอง ด้วยคำของพวกพราหมณ์ ผู้แต่งกาพย์กลอน จิตของพวกคนโง่ ยังหลงใหลในทางลุ่มๆ ดอนๆ คนไม่มีปัญญาเชื่อเอาจริงจัง”

“ราชสีห์ เสีอโคร่ง เสือเหลือง มีกำลังอย่างลูกผู้ชาย พราหมณ์ไม่มีกำลังเช่นนั้นเลย ความเป็นมนุษย์ของพราหมณ์เหล่านั้น พึงเห็นเหมือนของโค ชาติของพราหมณ์เหล่านั้นเท่านั้น ไม่มีใครเสมอ สิ่งอื่นๆ เสมอกันหมด ถ้าแหละพระราชาทรงชำนะหมู่ศัตรูได้ โดยลำพังพระองค์เอง ประชาราษฏร์ของพระราชานั้นพึงมีสุขอยู่เสมอ มนต์ของกษัตริย์ และไตรเพทเหล่านี้ มีความหมายเสมอกัน ถ้าไม่วินิจฉัยความแห่งมนต์ และไตรเพทนั้นก็ไม่รู้ เหมือนทางที่น้ำท่วม มนต์ของกษัตริย์และไตรเพทเหล่านี้ มีความหมายเสมอกัน ลาภ ไม่มีลาภ ยศ ไม่มียศ ทั้งหมดเทียว เป็นธรรมดาของวรรณะทั้ง 4 นั้น”

“พวกคฤหบดี ใช้คนจำนวนมากให้ทำการงานในแผ่นดิน เพราะเหตุแห่งทรัพย์และข้าวเปลือก ฉันใด แม้พวกพราหมณ์ผู้ทรงไตรเพท ก็ฉันนั้น ย่อมใช้คนเป็นจำนวนมาก ให้ทำการงานในแผ่นดิน ในวันนี้พราหมณ์เหล่านั้นเสมอกันกับคฤหบดี มีความขวนขวายประกอบในกามคุณเป็นนิตย์ ใช้คนจำนวนมาก ให้ทำการงานในแผ่นดินเหมือนกัน พราหมณ์เหล่านั้นเป็นผู้รู้รสสองอย่าง หาปัญญามิได้”

“พวกพราหมณ์ พึงฆ่าแต่พวกพราหมณ์เท่านั้น พวกใดพึงเชื่อถ้อยคำของพวกพราหมณ์ พวกพราหมณ์พึงฆ่าแต่พวกผู้อุปัฏฐากนั้นเท่านั้น ส่วนพราหมณ์ไม่ฆ่าพวกพราหมณ์และพวกอุปัฏฐาก ฆ่าแต่สัตว์ดิรัจฉานซึ่งมีประการต่างๆ เท่านั้น ดังนั้น คำของพวกพราหมณ์เหล่านั้นจึงผิด”

“พวกไหนๆ ที่จะร้องขอว่า ขออย่าฆ่าพวกเราเลย พวกเราจักไปสวรรค์ ย่อมไม่มีในยัญทั้งหลาย ย่อมฆ่าพวกเนื้อเป็นต้น และปศุสัตว์ซึ่งกำลังดิ้นรนอยู่ เลี้ยงชีพ คนพาลทั้งหลาย ย่อมนำเอาสัตว์และปศุสัตว์ สิ่งของทั้งหมด เช่น แก้วมณี สังข์ แก้วมุกดา ทรัพย์ ข้าวเปลือก เงินทอง ที่จัดแจงไว้ทั้งหมด ยื่นหน้าไปกล่าวคำนั้นๆ ถือผิดๆ ด้วยเห็นเข้าใจไปว่า สิ่งนี้จักให้สิ่งที่น่าใคร่แก่ท่านในโลกหน้า และจักนำมาซึ่งความเป็นของเที่ยงแท้แน่นอน”

“ถ้าพึงได้แก้วมณีเป็นต้นนี้ที่เสา หรือที่ไม้นอกนั้น หรือว่าเสาเป็นต้นนั้น พึงให้ไตรทิพย์ หรือสิ่งที่น่าใคร่ทั้งปวง หมู่พวกที่ไตรวิชาเป็นอันมาก จะพึงบูชายัญเพราะมีทรัพย์มากและใคร่ต่อสวรรค์ ไม่พึงให้พราหมณ์อื่นบูชา, ก็เพราะเหตุที่หวังแต่ ทรัพย์เพื่อตนจึงไม่ให้ผู้อื่นบูชา ฉะนั้นพึงทราบว่า ผู้กล่าวสิ่งซึ่งไม่มีจริงเป็นจริง”

“สิ่งทั้งปวงมีแก้วมณีเป็นต้นนี้ไม่มีที่เสา หรือที่ไม้นอกนั้นเลย จักรีดเอาไตรทิพย์อันเป็นสิ่งให้ความใคร่ทั้งปวงได้แต่ที่ไหน คำของพวกนั้น ไม่จริงทั้งนั้นแม้โดยประการทั้งปวง”

“ดูก่อนอริฏฐะ ขึ้นชื่อว่า พราหมณ์เหล่านี้เป็นผู้หลอกลวง ไร้กรุณาปราณี คนพาลเหล่านั้น ล่อลวงโลก ตลบตะแลงยื่นหน้าไปด้วยเหตุต่างๆ ท่านจงเอาไฟบูชา และให้สิ่งเครื่องปลื้มใจแก่เรา ท่านจงให้สิ่งซึ่งน่าใคร่ทั้งปวงแล้วจงมีความสุข จงพาพระราชา หรือมหาอำมาตย์แห่งพระราชา เข้าไปโรงบูชาไฟ เข้าไปยังที่มิใช่เรือน พรรณนาเหตุต่างๆ โกนผมโกนหนวดตัดเล็บ อาศัยเวท 3 ตามที่กล่าวแล้ว พลางกล่าวว่า สิ่งนี้ควรให้ สิ่งนี้ควรทำ ปราบปราม ทำให้พินาศ คือกำจัดทรัพย์ เครื่องปลื้มใจอันเป็นของผู้นั้น”

“ผู้หลอกลวงเหล่านั้น กระทำกรรมคือการหลอกลวงมีประการต่างๆ มาประชุมร่วมกันพรรณนายัญ หลอกลวงผู้ให้ บริโภคโภชนะดีๆ (โภชนะ คืออาหาร) มีรสเลิศ อันเป็นของผู้นั้น ครั้นแล้วทำผู้นั้นให้เป็นคนโล้น แล้วปล่อยเข้าไปในทางยัญ” (อธิบายว่า พาไปยังหลุมยัญในภายนอก)

“พราหมณ์เหล่านั้นประชุมกันเป็นอันมากแล้ว หลอกลวงผู้นั้นได้คนหนึ่ง ด้วยความพยายามนั้นๆ คือการประกอบนั้นๆ พรรณนาหลอกลวงทรัพย์ของผู้นั้นที่เห็นประจักษ์ และเทวโลกที่ไม่เห็น ด้วยเทวโลกที่ไม่เห็น ทำให้เป็นสถานเทวดา”

“ถูกพระราชาหรืออำมาตของพระราชา พร่ำสอนว่า พวกท่านจงถือเอาพลีกรรมของเรานี้และนี้ เป็นเหมือนราชบุรุษ กล่าวคือคนผู้เก็บส่วย ได้ถือเอาทรัพย์ของผู้นั้นไป ผู้ถือเอาพลีที่ไม่เป็นจริง เป็นเหมือนโจรตัดที่ต่อ บาปธรรมเห็นปานนี้ควรฆ่า แต่ไม่ถูกฆ่าในโลกเหล่านี้”

“ดูก่อนอริฏฐะ ท่านจงดูมุสาวาทของพราหมณ์แม้นี้ เล่ากันมาว่า พราหมณ์เหล่านั้น กล่าวกำใบไม้ใหญ่ในยัญทั้งหลาย ว่าท่านเป็นแขนขวาของพระอินทร์จึงตัดเสีย หากคำของพราหมณ์เหล่านั้น นั้นเป็นความจริง เมื่อเป็นเช่นนั้น จะเป็นมีผู้แขนขาด พระอินทร์ชนะอสูร เพราะกำลังแขนได้อย่างไร ผู้พรั่งพร้อมด้วยแขน ไม่ขาดแขนไม่มีโรคเลย ฆ่าพวกอสูร เป็นผู้สูงสุด คือประกอบด้วยบุญฤทธิ์ ไม่ฆ่าคนเหล่าอื่นมนต์ของพราหมณ์ทั้งหลาย ความว่างเปล่า คือไม่มีผล ความล่อลวงที่เห็นกันได้ในโลกนี้ ชื่อว่าเป็นมนต์ของพราหมณ์เหล่านั้น พราหมณ์บูชายัญถือเอาอิฐอย่างใดอย่างหนึ่ง ก่อสร้างกระทำไว้”

“จริงอยู่ ภูเขาทั้งหลาย ไม่หวั่นไหว เห็นได้เองไม่มีใครก่อสร้างขึ้น เป็นแท่งทึบ และล้วนแล้วด้วยหิน ไม่กลายเป็นอย่างอื่น อิฐทั้งหลายหวั่นไหว ไม่เป็นแท่งทึบ ไม่ล้วนแล้วแต่หิน พราหมณ์ทั้งหลายพรรณนาถึงยัญนี้”

“พวกพราหมณ์ผู้มีเวทบริบูรณ์ ย่อมพัดผู้ที่ตกไปในกระแสน้ำก็ดี ในแม่น้ำวนก็ดีไปสู่แม่น้ำ ให้จมลง ให้ถึงความสิ้นชีวิต จริงอยู่ เมื่อถามท่านว่า แม่น้ำมีน้ำมีรสวิบัติเพราะเหตุนั้นมิใช่หรือ จึงกล่าวอย่างนั้น”

“ดูก่อน เพราะเหตุไร น้ำในมหาสมุทรจึงทำให้ดื่มไม่ได้ มหาพราหมณ์ไม่สามารถจะทำน้ำในแม่น้ำทั้งหลายมีแม่น้ำยมุนาเป็นต้น ให้ดื่มไม่ได้เท่านั้นหรือ หรือว่าสามารถแต่ในมหาสมุทรเท่านั้น”

“เป็นน้ำรู้รส2 อย่าง ก่อนแต่นี้ คือประโยชน์ในเบื้องหน้าเขาทั้งปวง ได้แก่ในกาลแห่งปฐมกัป เป็นภรรยาของใครชื่อไร? จริงอยู่ในกาลนั้น ไม่มีเพศหญิงและเพศชายเลย. ภายหลัง เกิดชื่อว่ามารดาและบิดา ด้วยอำนาจอสัทธรรม ก็ในกาลนั้นให้เกิดเป็นมนุษย์ อธิบายว่า สัตว์ทั้งหลายสำเร็จด้วยใจบังเกิดขึ้น ด้วยเหตุแม้นั้นคือโดยสภาวะนั้น ใครๆ ชื่อว่า เลวโดยชาติย่อมไม่มี จริงอยู่ในกาลนั้น ความต่างแห่งกษัตริย์เป็นต้น หามีไม่ เพราะเหตุนั้น พราหมณ์ทั้งหลายกล่าวคำใดไว้ว่า พราหมณ์เท่านั้นประเสริฐโดยชาติ คนนอกนั้นเลว เพราะเหตุนั้นคำนั้น จึงชื่อว่าผิด”

“เมื่อโลกเป็นไปอย่างนี้ กษัตริย์เป็นต้นจึงแบ่งเป็น 4 ส่วนด้วยอำนาจละวัตร อันเป็นของโบราณ ภายหลังจึงกำหนดตัดขาด กระทำด้วยตนเอง พราหมณ์กล่าวจำแนกไว้อย่างนี้ว่า ด้วยการสละกรรมที่ตนกระทำไว้ บรรดาสัตว์เหล่านั้น บางพวกเกิดเป็นกษัตริย์ บางพวกเป็นพราหมณ์เป็นต้น เพราะฉะนั้นคำว่า พวกพราหมณ์เท่านั้นประเสริฐจึงผิดทีเดียว”

“ถ้าว่ามหาพรหมให้ไตรเพทแก่พวกพราหมณ์เท่านั้น ไม่ให้แก่พวกอื่น ศีรษะของจัณฑาลผู้กล่าวมนต์จะพึงแตก 7 เสี่ยง แต่ก็ไม่แตก เพราะฉะนั้น พราหมณ์เหล่านี้ สร้างมนต์ขึ้นเพื่อฆ่าตนเอง ประกาศความที่ตนกล่าวมุสาแก่พวกนั้น จึงชื่อว่า กระทำการฆ่าคุณ”

“ชื่อว่ามนต์เหล่านี้ อันพวกพราหมณ์คิดทำด้วยมุสาวาท ชื่อว่าอันพวกพราหมณ์ยึดถือ โดยความเป็นผู้ติดอยู่ในลาภ เปลื้องได้ยาก เหมือนปลาติดเบ็ดฉะนั้น ดำเนินตาม คือเข้าถึงทางแห่ง ถ้อยคำของพวกพราหมณ์ ผู้แต่งกาพย์กลอน พวกพราหมณ์เหล่านั้นกล่าวมุสาผูกขึ้น โดยประการที่ตนปรารถนา”

“ก็จิตของคนโง่เหล่านั้น ยังตั้งไว้ผิด ลุ่มๆ ดอนๆ พวกไม่มีปัญญาเหล่าอื่นย่อมเชื่อคำของคนโง่นั้น ด้วยกำลังกล่าว คือความเป็นบุรุษ ท่านกล่าวคำอธิบายไว้ว่า ราชสีห์เป็นต้น ผู้ประกอบด้วยกำลังซึ่งเป็นของบุรุษ กล่าวคือเรี่ยวแรงแห่งบุรุษ ย่อมไม่มีแก่พราหมณ์ คนพาลทั้งหมดเลวกว่า แม้กว่าพวกเดียรัจฉานเหล่านี้ทีเดียว”

“ก็อีกอย่างหนึ่งภาวะแห่งความเป็นมนุษย์ของพวกพราหมณ์เหล่านั้น พึงเห็นเหมือนฝูงโค ถามว่า เพราะเหตุอะไร? แก้ว่า เพราะชาติของพราหมณ์เหล่านั้นไม่เสมอกัน อธิบายว่า ชาติของผู้เสมอกับพวกพราหมณ์เหล่านั้นไม่เสมอกัน เพราะพวกพราหมณ์เหล่านั้นมีปัญญาทราม ความจริง สัณฐานของพวกโคก็อย่างหนึ่ง ของพวกพราหมณ์เหล่านั้นก็อย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้น ท่านจึงไม่กระทำพราหมณ์เหล่านั้นแม้ให้เสมอกัน ในจำพวกเดียรัจฉานมีสีหะเป็นต้น กระทำให้เสมอกันกับโคเท่านั้น”

“ดูก่อนอริฏฐะ ถ้าว่ากษัตริย์เท่านั้น ปกครองแผ่นดินโดยภาวะที่มหาพรหมให้ไซร้ ประกอบด้วยอำมาตย์เป็นอยู่ร่วมกัน พึงเป็นผู้ใช้คนผู้ทำตามโอวาทของตน เมื่อเป็นเช่นนั้น บริษัทของพระราชา ชื่อว่าพึงรบแล้วให้ราชสมบัติแก่พระราชา ไม่พึงมี พระราชาพระองค์นั้นผู้เดียวเท่านั้น พึงชนะหมู่ศัตรูด้วยพระองค์เท่านั้น เมื่อการรบมีอยู่อย่างนี้ ประชาราษฏร์ของพระองค์ พึงมีความสุขเป็นนิตย์. เพราะไม่มีความทุกข์ และข้อนั้นไม่เป็นความจริง แม้เพราะเหตุนั้น คำของพวกพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมผิด ราชศาสตร์และไตรเพทเหล่านั้น ที่เป็นไปตามอำนาจราชอาณา ตามความชอบใจของตนว่า สิ่งนี้เท่านั้นควรทำ ย่อมมีความหมายเสมอกัน กษัตริย์ไม่วินิจฉัยความหมายของมนต์แห่งกษัตริย์เหล่านั้น และความหมายของเวททั้งหลาย ถือเอาด้วยอำนาจอาชญาเท่านั้น ย่อมหยั่งรู้ถึงความหมายนั้น เหมือนทางที่ถูกห้วงน้ำตัดขาดฉะนั้น ราชศาสตร์และเวทเหล่านั้น ย่อมเสมอกันด้วยความหมายว่า หลอกลวง เพราะเหตุไร? เพราะพวกพราหมณ์กล่าวว่า พวกพราหมณ์เท่านั้นเป็นผู้ประเสริฐ วรรณะเหล่าอื่นเลว”

“ก็โลกธรรม มีลาภเป็นต้นเหล่านั้นใด ทั้งหมดนั้นเป็นธรรมของวรรณะทั้ง 4 ทั้งหมด จริงอยู่ แม้สัตว์ตนหนึ่งชื่อว่า พ้นไปจากโลกธรรมเหล่านี้ ย่อมไม่มี ดังนั้น พวกพราหมณ์จึงกล่าวมุสาวาทว่า เราผู้ไม่พ้นไปจากโลกธรรมนั่นแลประเสริฐ ฝ่ายพวกพราหมณ์ ย่อมทำกรรมเป็นอันมากมีกสิกรรม และโครักขกรรมเป็นต้น อย่างนั้นเหมือนกัน เกิดความขวนขวายความพอใจเป็นนิตย์”

“ดูก่อนน้องชายผู้รู้รสทั้ง 2 เพราะเหตุนั้น พวกพราหมณ์ผู้รู้รส 2 อย่าง เป็นผู้ไม่มีปัญญา พราหมณ์เหล่านั้นเป็นผู้ไกลจากธรรม ก็ธรรมของพวกพราหมณ์แต่โบราณ ย่อมปรากฎในสุนัข ในบัดนี้แล”

พระมหาสัตว์ ครั้นทำลายวาทะของพราหมณ์เหล่านั้นแล้ว ให้ตั้งวาทะของพระองค์ ด้วยประการฉะนี้ นาคบริษัททั้งหมดนั้น ได้ฟังธรรมกถาของพระมหาสัตว์แล้ว ก็พากันเกิดโสมนัส ฝ่ายพระมหาสัตว์จึงสั่งให้นาคบริษัท นำพราหมณ์เนสาท ออกไปจากนาคพิภพ แม้เพียงการบริภาษ ก็มิได้กระทำแก่พราหมณ์นั้น” (จบยัญญเภทกัณฑ์) (ยัญญ คือการบูชา เภท คือการแบ่ง การแยก)

ฝ่ายพระเจ้าสาครพรหมทัต มิได้ล่วงเลยวันที่ทรงกำหนดไว้ เสด็จไปยังพระตำหนักของพระราชบิดา พร้อมด้วยจตุรงคเสนา (กองทัพ 4 เหล่า ช้าง ม้า รถ และเหล่าราบ) ส่วนพระมหาสัตว์ก็สั่งให้ตีกลองร้องประกาศว่า “เราจะไปเฝ้าสมเด็จพระเจ้าลุง และพระเจ้าตาของเรา” แล้วก็เสด็จขึ้นจากแม่น้ำยมุนาด้วยสิริอันงามเลิศ มุ่งไปยังอาศรมบทนั้น พี่น้องนอกนั้นกับชนกชนนี ก็ติดตามไปเบื้องหลัง ในขณะนั้น พระเจ้าสาครพรหมทัต ทอดพระเนตรเห็นพระมหาสัตว์ ผู้มากับนาคบริษัทเป็นอันมาก ทรงจำไม่ได้ เมื่อจะทูลถามพระราชบิดา จึงตรัสว่า

“กลอง ตะโพน สังข์ บัณเฑาะว์ และมโหรทึกของใคร มาข้างหน้า ทำให้พระราชาจอมทัพทรงหรรษา ใครมีสีหน้าสุกใส ด้วยแผ่นทองคำ อันหนามีพรรณดังสายฟ้า ชันษายังหนุ่มแน่น สอดสวมแล่งธนู รุ่งเรืองด้วยสิริมาอยู่ นั่นเป็นใคร ใครมีพักตร์ผ่องใสเพียงดังทองคำ เหมือนถ่านไฟไม้ตะเคียน ซึ่งลุกโชนอยู่ที่ปากเบ้า รุ่งเรืองด้วยสิริมาอยู่ ใครนั่นมีฉัตรทองชมพูนุท มีซี่น่ารื่นรมย์ใจ สำหรับกันรัศมีพระอาทิตย์ รุ่งเรืองด้วยสิริมาอยู่ ใครนั่นมีปัญญาประเสริฐ มีพัดวาลวิชนีอย่างยอดเยี่ยม อันคนใช้ประคอง ณ เบื้องบนเศียรทั้งสองข้าง คนทั้งหลายถือกำหางนักยูงอันวิจิตร อ่อนสลวย มีด้ามล้วนแล้วด้วยทอง และแก้วมณี จรลีมาทั้งสองข้าง ข้างหน้าของใคร กุณฑลอันกลมเกลี้ยง มีรัศมีดังสีถ่านไม้ตะเคียน ซึ่งลุกโชนอยู่ปากเบ้า งดงามอยู่ทั้งสองข้าง ข้างหน้าของใคร เส้นผมของใครต้องลมอยู่ไหวๆ ปลายสนิทละเอียดดำ งามจดนลาต ดังสายฟ้าพุ่งขึ้นจากท้องฟ้า”

“ใครมีเนตรซ้ายขวากว้างและใหญ่ งาม มีพักตร์ผ่องใส ดังคันฉ่องทอง ใครมีโอฐสะอาดเหมือนสังข์อันขาวผ่อง เมื่อเจรจา (แลเห็น) ฟันขาวสะอาด งามดังดอกมณฑารพตูม ใครมีมือและเท้าทั้งสองมีสีเสมอด้วยน้ำครั่ง ตั้งอยู่ในที่สบาย มีริมฝีปากเปล่งปลั่ง ดังผลมะพลับงามดังดวงอาทิตย์ ใครนั่นมีเครื่องปกคลุมขาวสะอาด ดังหนึ่งต้นสาละใหญ่ ดอกบานสะพรั่ง ข้างเขาหิมวันต์ในฤดูหิมะตก งามปานดังพระอินทร์ ผู้ได้ชัยชนะ ใครนั่น นั่งอยู่ท่ามกลางบริษัท คล้องพระแสงขรรค์คร่ำทอง วิจิตรด้วยด้ามแก้วมณีที่อังสา ใครนั่นสวมรองเท้าทอง อันวิจิตร เย็บเรียบร้อย สำเร็จเป็นอันดี ข้าพเจ้าขอนอบน้อมต่อท่าน ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่”

พระดาบสผู้มีฤทธิ์ได้อภิญญา ถูกพระเจ้าสาครพรหมทัต ผู้เป็นโอรสทูลถามอย่างนี้ เมื่อจะบอกว่า “ดูก่อนพ่อ ผู้ที่มาเหล่านั้น คือนาคลูกท้าวธตรฐ หลานของเจ้า เป็นนาคที่มีฤทธิ์เรืองยศ เป็นลูกของท้าวธตรฐ เกิดแต่น้องสมุททชาของเจ้า นาคเหล่านี้มีฤทธิ์มาก”

เมื่อพระราชฤาษี และพระเจ้าสาครพรหมทัต ตรัสอยู่อย่างนี้ นาคบริษัททั้งหลาย จึงพากันถวายบังคมบาทพระดาบส แล้วนั่ง ณ ที่อันสมควรส่วนข้างหนึ่ง ฝ่ายนางสมุททชาก็ถวายบังคมพระราชบิดา และพระราชภาดา (พี่ชาย) แล้วก็ปริ เทวนา (คร่ำครวญ) กรรแสง แล้วก็พานาคบริษัทกลับไปยังนาคพิภพ ฝ่ายพระเจ้าสาครพรหมทัตประทับ ณ ที่นั้นนั่นเอง สองสามวันจึงถวายบังคมลา ขมาพระราชบิดาแล้วก็กลับยังกรุงพาราณสี นางสมุททชาเทวีก็สิ้นชีพในนาคพิภพนั้นนั่นเอง

ฝ่ายพระโพธิสัตว์ก็รักษาศีลอยู่จนตลอดชีวิต ในที่สุดแห่งชนมายุ ก็ได้ดำเนินไปในทางสวรรค์ กับนาคบริษัท

พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนอุบาสกทั้งหลาย โบราณบัณฑิต เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติขึ้น ก็ยังทรงสละนาคสมบัติเห็นปานนี้ กระทำอุโบสถกรรมดังนี้ จึงประชุมชาดกว่า

มารดาบิดา (ของพระภูริทัต) ในกาลนั้น ได้มาเป็นศากยราชตระกูล

พราหมณ์เนสาท มาเป็น พระเทวทัต

โสมทัต มาเป็น พระอานนท์

นางอัจจิมุขี มาเป็น นางอุบลวรรณา

สุทัสสนะ มาเป็น พระสารีบุตร

สุโภคะ มาเป็น พระโมคคัลลานะ

อริฏฐะ มาเป็น สุนักขัตตลิจฉวี

ภูริทัต มาเป็น เราผู้ตรัสรู้ชอบด้วยตนเอง

ความคิดเห็น

พระคาถาน่าสนใจศึกษา

พระคาถามหาเศรษฐี (ต้นฉบับตามพระคัมภีร์ คาถา ๑๐๘ พิสดาร)

บอกบุญ "ซื้อที่ดินถวายวัด" อานิสงส์แรงกล้า ศรัทธาร่วมใจ สร้างปูชนียสถาน ณ วัดแม่ไฮ จ.ลำปาง

พระคาถาบูชาพระนายรายณ์ทรงสุบรรณ

บทแผ่เมตตา และอุทิศส่วนกุศล