พระคาถานี้ ท่านให้ภาวนาทุกครั้งก่อนที่จะนำพระเครื่องขึ้นห้อยคอ เพื่อให้พระเครื่อง คงความศักดิ์สิทธิ์ และความขลังจากครูบาอาจารย์ดังเดิมเมื่อกล่าวถึงเรื่องพระเครื่องนั้น เป็นสิ่งที่คนหลายคนเข้าใจผิดว่า การที่พระเครื่องถูกปลุกเสกจากครูบาอาจารย์แล้ว จะมีฤทธิ์และปาฏิหารย์ ดังตำนานที่บอกต่อกัน จนเป็นที่มาของการซื้อขายพระเครื่องบูชาในราคาสูง อีกทั้งยังเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางในประเทศไทย สำหรับวงการพระเครื่องแล้ว ถูกมองว่าเป็นวัตถุนิยมที่มีราคา ด้วยเหตุปัจจัยดังกล่าวข้างต้น และเพื่อเป็นการรำลึกถึงครูบาอาจารย์ผู้สร้าง ยิ่งหากครูบาอาจารย์ท่านนั้น มรณภาพไปแล้ว ยิ่งทำให้ราคาพระเครื่องพุ่งสูงขึ้นไปอีก
หากแต่ไม่มีใครเคยไตร่ตรองถึงกุศโลบายในการสร้างพระเครื่องอย่างถ่องแท้ เหตุที่ครูบาอาจารย์ท่านสร้างขึ้นมานั้น เพื่อให้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เป็นที่สักการะบูชา ระลึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัย อันมี พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า และพระสังฆเจ้า เพื่อให้เป็นที่ประทับแห่งคุณงามความดีทุกประการ เพื่อความเป็นสิริมงคลต่อชีวิต มิใช่ใส่แล้วจะเป็นอมตะ ใส่แล้วจะเฮงจะรวย หากตราบที่ท่านสวมใส่พระเครื่องที่มีความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ แต่ท่านทำชีวิตไม่อยู่ในศีลในธรรม เช่น เมาสุราแต่สวมพระเครื่อง สิ่งเหล่านั้นจะทำให้ศีลของท่านไม่บริสุทธิ์ ต่อให้พระเครื่องนั้นจะมีอิทธิปาฏหาริย์ใด ๆ ก็ตาม ก็จะถูกริดรอนไปด้วยศึลของท่านเอง ต่อให้ท่องบ่นปลุกเป่าพระคาถาใดก็ตาม ก็จะเสื่อมถอยไปด้วยศีลอันไม่บริสุทธิ์ของท่านเอง
คนโบราณที่ท่านบูชาพระเครื่องจริง ๆ ท่านจะต้องท่องบ่นมนต์ล้างหน้ายามเช้า และอาราธนาศีล 5 เป็นปฐม ก่อนที่นะอาราธนาพระเครื่องขึ้นคอ และขณะที่คล้องพระเครื่อง จะไม่พูดจา หรือทำผิดศีล 5 เป็นอันขาด เพื่อให้พระที่อยู่ที่คอ เป็นเครื่องเตือนสติ ให้สร้างคุณงามความดี และคงความศักดิ์สิทธิ์ต่อไป ผู้เขียนจึงอยากขอฝากเรื่องนี้เป็นวิทยาทาน สำหรับท่านที่บูชาพระเครื่องทั้งหลาย เพราะมิเช่นนั้น ต่อให้ท่านท่องบ่นพระคาถาใดร้อยจบ พันจบ พระเครื่องของท่านก็เป็นแค่วัตถุที่ได้รับความนิยม แต่ไม่มีพลังบุญใด ๆ ก่อให้เกิดปาฏิหารย์ได้เลย ฉันใด ก็ฉันนั้น
(พุทธคยาจำลอง สังขละบุรี)
---------------------------------------------------------------------------------------------
พุทธังอาราธนานัง ธัมมังอาราธนานัง สังฆังอาราธนานัง พุทธังประสิทธิเม ธัมมังประสิทธิเม สังฆังประสิทธิเม
หมายเหตุ : โบราณคาถา เป็นตำรับตำราที่สืบทอดกันมาจากรุ่นครูบาปัธยายสมัยโบราณกาล คำถามที่ค้างคาใจของผู้อ่านและศึกษาคือ วิชาเหล่านี้มีจริงหรือไม่ นำไปท่องบ่นร้อยรอบพันรอบก็ไม่สำเร็จ ไม่สำฤทธิ์ผลดังปรารถนา สาเหตุเกิดจากอะไร เมื่อทำไม่ได้ ทำไม่สำเร็จ จึงเหมารวมเอาว่า เป็นเพียงความเชื่องมงายของสายพราหมณ์ ไม่ได้พิจารณาให้ถ่องแท้ และถ้วนถี่ในกระบวนการวิชากลคาถาโบราณ ซึ่งตามตำนานของไสยเวทย์นั้น เกิดจากการเล่นแร่แปรธาตุของเหล่านักบวช ฤาษี ชี พราหมณ์ ที่ฝึกจิต ปฏิบัติตน จนได้อภิญญาระดับหนึ่ง เมื่อบัญญัติคาถาขึ้น และถ่ายทอดกันมารุ่นสู่รุ่น จนถึงปัจจุบัน และเรืองรองที่สุดในยุคขอมโบราณ (กัมพูชา, ไทย, ลาว และเวียดนามบางส่วน)
ในการฝึกตนของเหล่านักบวช ฤาษี ชี พราหมณ์ ในยุคโบราณนั้น กล่าวกันว่าเป็นการบำเพ็ญเพียรและฝึกจิตโดยแท้จริง วิชาที่สืบทอดกันมาในปัจจุบันก็ว่าด้วยสมถกรรมฐาน กล่าวคือ มุ่งเน้นการเพ่งกสิณเพื่อให้เกิดฤทธิ์ เพราะฉะนั้น ในบทสวดพระคาถาต่าง ๆ ที่เป็นวิชาทางด้านคุณไสยกระทำการ จะมีสายธาตุกำกับอยู่ เช่น คาถาประสบเนตร ประกอบด้วยธาตุไฟ และธาตุลม (ดวงตา = ไฟ, ดวงใจ = ลม) ฉะนั้นเวลาครูบาอาจารย์ท่านฝึก ต้องกำกับไฟและลม เพื่อให้ส่งผลต่ออภิญญา นอกจากการถือศีลหรือข้อปฏิบัติตามสายวิชาของตนแล้ว ครูบาอาจารย์ท่านจะต้องฝึกจิตด้วยการบำเพ็ญเพียรนานัปการ กว่าจะสำเร็จเป็นวิชาหนึ่งวิชา และสิ่งเหล่านี้อาจจะไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยการมองเห็น นั่นเพราะเป็นแสงออร่าที่ดวงตามนุษย์ไม่สามารถสัมผัสได้ ผู้ที่มีอภิญญาเทียบเท่ากันเท่านั้น จึงจะสามารถมองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้ แต่กระนั้น วิชาโบราณที่เห็นผลด้วยตาเปล่า ก็มีมากมายนัก ดังคำประพันธ์ หรือบันทึกเก่าแก่ของปราชญ์โบราณ ที่ส่งผลให้ครูบาอาจารย์ หรือพระอริยสงฆ์บางรูป เป็นที่เลื่องลือตราบจนถึงปัจจุบัน
ตัวอย่างนี้ผู้เขียนเพียงเปรียบเปรยชี้แจงเท่านั้น ห้ามส่งเข้ามาถามนะครับว่า จะฝึกคาถาอะไร ต้องฝึกอภิญญาธาตุไหน เพราะนั้นไม่ใช่อุบายที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพึงให้พิจารณา ผู้เขียนเพียงบอกกล่าวชี้แจงว่า การเล่นแร่แปรธาตุของคนโบราณนั้น มิใช่ฝึกกันเพียงวันสองวัน แต่ท่านใช้เวลาทั้งชีวิตในการฝึกฝน ดังนั้น เวทมนย์กลคาถาต่าง ๆ จึงได้สำเร็จได้ เป็นจริงได้
ตามคำอ่านคาถาอาคม หากเราระลึกถึงคุณพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือครูบาอาจารย์ที่ส่งมอบให้ ก็สามารถเกิดปาฏิหารย์ได้เช่นกัน เพราะครูบาอาจารย์เหล่านั้นท่านกำกับไว้ดีแล้ว วิเศษณ์แล้ว ดังนั้นจะขอส่งมอบต่อไปเพื่อเป็นวิทยาทานเท่านั้น เราจะไม่พึงสงสัย หรือหลงไหลในไสยศาสตร์ใดจนเกินการพิจารณาตนเอง การพิจารณาลมหายใจ การดำเนินชีวิต และการพิจารณาความตายโดยไม่ประมาท คือแนวทางที่พุทธองค์ทางบัญญัติ และการเจริญกรรมฐานด้วย อานาปานสติ คือสิ่งที่ควรขัดเกลาจิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อวิมุตติสุขอย่างแท้จริง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
กรุณาแสดงความเห็นด้วยความสุภาพและมีวิจารณญาณ